หลังจากเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิด ทำให้รูปแบบการทำงานนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก หลายคนคงได้ยินคำว่า Work from home หรือ Hybrid work มาพอสมควร สภาพการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้มนุษย์ออฟฟิศมีพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลายคนรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ทำงานอยู่บ้านกับครอบครัว ทว่าขณะเดียวกันก็อยากยืดหยุ่นการทำงานและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าการบริหารองค์กรด้วยการทำงานรูปแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ Work Life Balance ของผู้คนอีกต่อไป ซึ่งหลายครั้งก็ไม่อาจรั้งพวกเขาให้อยู่กับเราได้นานเช่นกาลก่อน ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่าง The Great Resignation และ Quiet Quitting ในช่วงล่าสุดที่ผ่านมา และคล้ายกับว่านี่เป็น Butterfly Effect ที่มีผลต่อองค์กรในกาลข้างหน้าอย่างมากทีเดียว

วันนี้เราจึงอยากแชร์เทรนด์การทำงานปัจจุบันที่สามารถตอบโจทย์ของการบริหารธุรกิจของคุณกันครับ ว่าจะไปในทิศทางไหนได้บ้าง กับ 5 รูปแบบการทำงานที่มาแรงในยุคใหม่

การทำงานยุคใหม่ที่มาแรง

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การทำงานอยู่ภายในออฟฟิศแบบซังกะตายแบบเดิม ๆ อาจเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้คนยุคใหม่เลือกอยู่กับเราน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการบริหารธุรกิจและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการขาดพนักงานที่สามารถรับผิดชอบในงานสำคัญ หรือจะเป็นรับภาระงานอันหนักหน่วงของพนักงานที่ยังเหลืออยู่ในบริษัท สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้พนักงานเกิดอาการ Burn Out และขาดแรงใจจะอยู่กับเราในที่สุด และจากที่เกริ่นกันไปแล้ว.. ทีนี้เรามาดูกันครับว่า มีรูปแบบการทำงานแบบใดบ้างที่จะทำให้การบริหารธุรกิจและองค์กรของเราเป็นเรื่องที่สะดวกยิ่งขึ้น

1. Remote and Hybrid work

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานทางไกลเป็นตัวเลือกลำดับแรกที่ดึงดูดใจพนักงานเก่าหรือคนอื่นที่พบเห็นใบสมัครในบริษัทของเราเป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะความสนใจ โดยรูปแบบการทำงานแบบทางใกล้จะมีหลายรูปแบบย่อย ตามแต่เราจะวางเงื่อนไขรูปแบบดังกล่าว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบย่อย ได้แก่

  • Work from home : เป็นรูปแบบการทำงานภายในบ้านแบบ 100% ทั้งนี้จะต้องทำงานอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ปิดและให้ความเป็นส่วนตัวเท่านั้น
  • Work from anywhere : มีลักษณะคล้ายคลึงกับการทำงานในบ้าน แต่เปิดกว้างกว่า เพราะสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ตามแต่สะดวก
  • Hybrid work : เป็นการทำงานแบบสลับกันเข้าออฟฟิศ และสลับกันทำงานในบ้าน ซึ่งสัดส่วนของวันที่เข้าออฟฟิศและทำงานในบ้านเป็นไปตามแต่ละบริษัท
Image by rawpixel.com on Freepik

2. Visual Team Building

Google Meet, Zoom, Microsoft Team เป็นตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กของคุณได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าว การจะฟอร์มทีมสำหรับเรียกประชุมและคุยงานก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว และยิ่งมี VR หรือ Visual Reality เป็นหนึ่งในเครื่องมือจากนวัตกรรมสุดล้ำที่มีความสามารถจำลองภาพให้เสมือนจริงบนโลก Metaverse คุณก็ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเติมเต็มการทำงานขององค์กรได้อีกด้วย

3. Working Wellness

หากเปรียบพนักงานในบริษัท เป็นเสมือนทหารที่ต้องผ่านสมรภูมิรบในทุกวัน ก็คงไม่แปลกนัก.. ท่ามกลางกระแสความก้าวล้ำและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แน่นอนว่าต้องมีความวุ่นวายตามมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตอย่างมาก หลายคนมีอาการหวั่นวิตก เครียด หมดไฟ หรือแม้แต่เป็นซึมเศร้า และจะดีไม่น้อยหากบริษัทสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพด้วยการเปิดพื้นที่เปิด การบริการให้การปรึกษา หรือทำการตลาดขึ้นภายในองค์กร ซึ่งเสนอทางแก้ให้พนักงานที่ประสบปัญหาได้อย่างยืดหยุ่นและตรงจุด

Image by Kireyonok_Yuliya on Freepik

การทำเบี้ยพักผ่อนนอนหลับของพนักงานในบริษัท Crazy Inc. ที่ประเทศญี่ปุ่นนับเป็นการนำเสนอสวัสดิการที่น่าสนใจอย่างมาก โดยจะให้รางวัลพนักงานที่นอนหลับอย่างน้อย 6 ชั่วโมงเป็นแต้มแลกเป็นเครดิตในศูนย์อาหาร ซึ่งรวมแล้วตกมูลค่ากว่า 64,000 เยนต่อปีทีเดียว นอกจากนี้หากพนักงานเลือกวัดปริมาณการนอนของตัวเองทุกวันใน 1 เดือน ก็จะได้รับแต้ม 1,000 คะแนน ซึ่งคิดเป็นเงิน 1,000 เยน เป็นเบี้ยขยันอีกด้วย

4. Flexible Working Hour

เมื่อสามารถยืดหยุ่นสถานที่ทำงานได้ ก็สามารถยืดหยุ่นเวลาในการทำงานได้เหมือนกัน เคยไหมครับที่ต้องตื่นแต่เช้าและเดินทางเพื่อให้ทันเวลาเข้างานในทุก ๆ วัน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวการที่สร้างความลำบากแก่เราอยู่ไม่น้อย และจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป.. หากบริษัทสามารถยืดหยุ่นเวลาทำงานได้ ด้วยการให้พนักงานมีสิทธิ์ในการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มงาน ซึ่งแต่ละคนอาจมีช่วงเวลาการทำงานที่ต่างกัน อย่างไรก็ดี ผลที่ได้ตามมาจากการเปิดเสรีในการทำงานได้ในเวลาใดก็ได้ในวันหนึ่ง คือการที่บริษัทของคุณจะสามารถรันงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน และยังส่งผลให้ผลงานที่ได้จากการยืดหยุ่นเวลาทำงานได้ผลที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งตอบโจทย์การ Work Smart แทนที่จะเป็นการ Work Hard ในรูปแบบเดิมที่ดูไม่ทันกระแสโลกปัจจุบัน

Image by rawpixel.com on Freepik

5. Multi-function workplace

รูปแบบสุดท้ายของการทำงาน แต่ไม่ท้ายสุดของการทำงานแบบใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลก คำถามคือ.. จะดีกว่านี้ไหม? หากออฟฟิศของคุณมีพื้นที่ Co-working space ที่มอบประสบการณ์การทำงานที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเพิ่มความสบายใจการทำงาน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดโดยไร้ข้อจำกัดเรื่องสิ่งอำนวย HUBBA จัดว่าเป็น Coworking Space ตัวอย่างของ Google ที่ประสบความสำเร็จในไทยจากการส่งเสริมให้นักลงทุนและผู้ประกอบการมาเจอกัน และด้วยการปักหมุดชัดเจนว่าเป็นแหล่งคอมมิวนิตี้สำหรับกลุ่ม Startup และ Entrepreneur ทำให้เหล่านักลงทุนแบบ Venture Capital ฟรีแลนซ์ และคนทำงานสายดิจิทัลจำนวนมากต่างหลั่งไหลเข้ามาใช้พื้นที่ทำงาน แลกเปลี่ยนแนวคิด และทำข้อตกลงทางธุรกิจร่วมกัน สิ่งนี้เองที่ทำให้ HUBBA เป็นองค์กรที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการสร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่ง

Key Takeaway

แม้ว่าสารพัดวิธีดังกล่าวจะช่วยลดอัตรา Turnover ของพนักงานจำนวนมหาศาลและทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุขขึ้น ทว่าสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือการเห็นความสำคัญและให้ความเป็นธรรมแก่พนักงานในฐานะบุคคลหนึ่งที่ทำให้บริษัทสามารถคงอยู่และก้าวไปข้างหน้าได้ หากตั้งต้นด้วย Mindset ในเชิงคุณค่าที่เปิดกว้าง ก็ย่อมหมายความว่าองค์กรของคุณมีโอกาสเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

Cover Image : Image by Lifestylememory on Freepik

Credits :


คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม

Exit mobile version