*Trendy Now

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความร้อนแรงของ House of the Dragon ซีรีส์ยอดนิยมส่งท้ายปี ดีไม่แพ้ซีรีส์ในสตอรี่ไลน์เดียวกันอย่าง Game of Thrones และเชื่อไหมว่า.. เพียงแค่ซีซันที่หนึ่งก็สามารถโกยสกอร์จากบ้าน imdb ไปถึง 8.6/10 และจาก Rotten Tomatoes 86% หากคุณเป็นคนนึงที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่าตัวละครใน House of the Dragon มีความโดดเด่นและบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของตัวละครนึงมักพาคุณไปเจอประเด็นต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้น ซับซ้อนแต่ก็สอดประสานกันได้อย่างสนุก…

*รักโลก รักสุขภาพ

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย…

สิ่งที่เรียกว่า ‘ธุรกิจ’ ในสายตาของคุณนั้นคืออะไร ?.. หากย้อนกลับไปสิบถึงยี่สิบปีก่อน การมีแบรนด์คงไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง พ่อค้าแม่ขายตลาดนัด คุณป้าร้านขายของชำ ไปจนถึงอาเฮียร้านห้องแถวขายอุปกรณ์ก่อสร้าง พวกเขาก็ยังสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ…

ธุรกิจเริ่มปัง จะ จดทะเบียนบริษัท แบบไหนดี ? ทุกคน ทุกคนรู้มั๊ยว่าทุกวันนี้การเริ่มทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องยากเหมือนในอดีต เพราะเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นแล้วจะสำเร็จทุกรายหรอกนะ ดังนั้นก่อนเริ่มทำธุรกิจ…

เชื่อว่าหากคุณได้ยินคำว่า Personalized marketing แล้วคงรู้สึกงุนงง นึกภาพไม่ออกว่ามันคืออะไร.. ขอให้คุณลองนึกถึงตอนคุณไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตครั้งล่าสุด บรรยากาศร้านค้าที่สะอาดสบายตา คุณภาพสินค้าที่ดี แพคเกจจิ้งน่าหยิบใช้ มีให้เลือกหลายหลาย…

“ดีแต่ป้อ ล่อไม่เป็น” สำนวนแสบ ๆ คัน ๆ ฟังแล้วคันหู เป็นสำนวนที่ช่างเหมาะสมเหลือเกินกับกลยุทธ์สำคัญกลยุทธ์นึงในการขาย ที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ทำหน้าที่ พนักงานขาย…

โลกธุรกิจยุคดิจิทัลทุกวันนี้.. การแข่งขันสูง ต้องแข่งกับเวลา วิธีบริหารแบบเดิมที่เน้นวางแผนกลยุทธ์ให้แน่นอนก่อนแล้วค่อยลงมือทำ ถือว่าช้าเกินไปและใช้ไม่ได้ผลดีกับยุคนี้แล้ว ซึ่งปัญหานี้ก่อให้เกิดโซลูชันการบริหารแบบใหม่ คือ “การบริหารด้วย Business Model…

Business knowledge 77%
Technology 71%
Self development 90%
Potential improvement 86%

Athena new release

ถอดบทเรียน “ธุรกิจเจ๊ง” เช็คความเสี่ยงว่าธุรกิจคุณเข้าขั้นวิกฤตแล้วหรือยัง ? ปกติแล้วบทความส่วนใหญ่จะให้หนทางทำอย่างไรก็ได้ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำเคล็ดลับต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าหากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจหรือทำธุรกิจแล้วกำลังประสบกับความเสี่ยงในการทำให้ ธุรกิจเจ๊ง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? Convincing จิตวิทยาและวาทศิลป์ในการโน้มน้าวใจ “เคล็ดลับ! การโน้มน้าวใจคนให้สำเร็จ ด้วยเทคนิคเชิงจิตวิทยาและศิลปะการพูด”หลักการและเหตุผลการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันหลากหลายองค์กรต่างเห็นความสำคัญถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์”บุคลากร”ทางด้านทัศนคติกระบวนการความคิดให้เกิดความสุขในการทำงาน องค์กรจึงต้องนำศาสตร์และศิลป์ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ การจูงใจ การเจรจาต่อรอง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? หลักสูตร Generative AI for Productivity เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting…

เปิดรับสมัครแล้ว คอร์สเรียนออนไลน์ “ก้าวแรกสู่ การพูดในที่สาธารณะ” คอร์สเรียนทักษะการพูดในที่สาธารณะที่โฟกัสตรงจุด ทำให้คุณพัฒนาทักษะการพูดเป็นเร็วขึ้น SPEAK SPARK ได้กลั่นกรอง “ศาสตร์และศิลป์”…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลงานขององค์กรเพื่อให้ได้งานเชิงพัฒนามากขึ้น หลายองค์กรได้เลือกทำการปรับปรุงแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดผลงานเช่น KPIs โดยเปลี่ยนไปเป็นการตั้งเป้าหมายในเชิงพัฒนา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลงานแบบที่มุ่งเหตุที่ทำให้เกิดผล และผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการ มากกว่าที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานแบบงานประจำ และตัวชี้วัดผลงานที่มุ่งวัดผลเบื้องต้นเท่านั้น…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? ทําความรู้จักกับไคเซ็น (KAIZEN) เครื่องมือที่ช่วยในการทําไคเซ็นในสํานักงาน หมวดหมู่ งานบุคคล HR การทำงาน…

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย ตลอดจนการลงทุนาสร้างโปรเจคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร และแน่นอนว่ามันคีพคูลเข้ากับเทรนด์ Eco Friendly ในเจเนอเรชั่นนี้มาก…

มีแฟนเป็นคนขยันมันก็ดีต่อใจที่เขาเป็นคนเอาการเอางาน ในขณะที่หลายคู่กลับรู้สึกเพลียใจว่าแฟนบ้างานเกินไป จนแทบไม่มีเวลามาใส่ใจในเรื่องความรักกันบ้างเลย ทำให้เรารู้สึกน้อยใจอยู่บ่อย ๆ ว่าตอนนี้ยังรักกันอยู่หรือเปล่า เอาล่ะ ! วันนี้เรามี 5 วิธีรับมือง่าย ๆ ซึ่งเหมาะสำหรับคู่รักที่มีแฟนเป็นชาว Workaholic หรือ “คนบ้างาน” มาฝากนั่นเอง อ่านจบรับรองว่าคุณจะเข้าใจมนุษย์แฟนบ้างานคนนี้มากขึ้น และเผลอ ๆ จะทำให้ชีวิตคู่ลงตัวมากขึ้นด้วยค่ะ 1. Slow down ถามตัวเองก่อน… ข้อแรกนี้สำคัญ เป็นข้อเปิดหัวเลยก็ว่าได้ นั่นคือก่อนที่เราจะไปนอยด์ใส่ว่าเขาเป็นแฟนบ้างานนั้น ก่อนอื่น ถามตัวเองก่อนว่าแฟนบ้างานแล้วความรักยังดีอยู่ไหม ? เราต้องการมากเกินพอดีหรือไม่ ? เพราะสำหรับบางคู่ จริง ๆ การไปนอยด์ใส่กันมันกระทบต่อความสัมพันธ์ ในบางกรณีแม้ว่าแฟนจะเป็นพวกบ้างาน แต่ก็ยังหาเวลามาดูแลเอาใจใส่กันได้เป็นอย่างดีหรือในระดับที่พอดี หรือเขาเป็นแฟนในแบบที่เห็นงานสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนทุกเรื่องเสมอ คุณต้องทบทวนให้ดีก่อนตัดสินใจ 2. Say that ! ไม่พูดก็ไม่เข้าใจกัน ถ้าทบทวนข้อแรกดีแล้ว… นี่คือขั้นตอนต่อมา ก่อนอื่นเราอยากให้คุณเชื่อเถอะว่าคนบ้างานส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ตัวว่ากำลังบ้างานอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าใครกำลังเดือดแฟน ขอให้ลดระดับลงมาครึ่งนึงก่อนที่จะทำตามวิธีในขั้นตอนนี้ เพราะเราจะแนะนำให้คุณพูดมันออกมาค่ะ ! ถ้าเรามัวแต่ดราม่า น้อยใจเก็บไว้คนเดียวโดยไม่พูดออกมา แฟนบ้างานก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกเชื่อได้เลย ซึ่งจะดีกว่าไหมถ้าเราต้องการเวลาจากเขาหรืออยากให้เขาปรับอะไรบ้าง เราก็แค่ต้องใจเย็น ตั้งสติ ท่องไว้ว่าต้องใช้เหตุและผลเสมอ จากนั้นค่อย ๆ พูดความต้องการของเราออกมา คุณต้องรวบรวมสมาธิให้ดี และระมัดระวังให้ไม่นำอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จากนั้นอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเรื่องนี้กำลังเป็นปัญหากับชีวิตคู่ของเรา และคุณต้องการอะไรจากเขา พูดคุยกันบนพื้นฐานของคนที่ต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรัก แม้ท้ายที่สุด อาจจะมีทะเลาะกัน แต่ยังดีกว่าปล่อยเงียบให้เป็นปัญหากัดกินใจของเราต่อไป ผู้เสพติดงานนั้นมักจะไม่เห็นว่าพฤติกรรมของตัวเองเป็นปัญหา เพราะเมื่อพวกเขาทำงานปริมาณมาก พวกเขาก็มักจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น รวมถึงการเลื่อนตำแหน่งศ.เชาเฟลี. https://www.bbc.com/thai/international-43651278 3. Reasonable เข้าใจเหตุผลของชาว Workaholic…

ถ้าเราบอกเคล็ดลับว่า เพียงแค่เพื่อน ๆ รู้วิธีการ หายใจ อย่างถูกวิธี ก็จะพบว่าตัวเองมีสุขภาพดีขึ้น และมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว…เพื่อน ๆ จะเชื่อหรือไม่ ? การหายใจของมนุษย์เป็น “ศิลปะ” การหายใจที่สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง และมันเป็นศิลปะเชิงวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง เพราะมันเป็นมากกว่าการหายใจเอาอากาศเข้าและหายใจเอาอากาศออก การหายใจไม่ใช่แค่สูดออกซิเจนเข้าปอด จูนความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของมนุษย์ประกอบขึ้นจากเซลล์นับพันล้านที่เกิดจากการหายใจเป็นพื้นฐาน การหายใจเป็นจุดกำเนิดลูกโซ่ของชีวกายภาพทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งดำรงค์อยู่ได้เพราะหายใจและสูญสลายไปเมื่อหยุดหายใจ ออกซิเจนที่ได้เพิ่มมากขึ้นในกระแสเลือดของเรากระตุ้นระบบขับถ่าย อันเป็นการชำระล้างพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายออกไป ออกซิเจนที่เพิ่มพิเศษขึ้นมาในสมอง ให้พลังงานเพิ่มเติมและความมีชีวิตชีวาแก่เรา ทั้งการหายใจในระหว่างการทำสมาธิลึก ๆ ก็เป็นเครื่องเตือนใจต่อร่างกายของเราว่า ทั้งหมดอยู่ในความควบคุม การหายใจจึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สุขภาพของเราดีเสมอมา แบบที่เพื่อน ๆ บางคนอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพอเรามีอายุมากขึ้น การหายใจกลายเป็นวิทยาศาสตร์น้อยลงเรื่อย ๆ และกลายเป็นการหายใจตื้น ๆ และเราก็เริ่มหายใจเข้าไปในปอด แทนที่จะให้ลึกถึงท้อง ผู้ใหญ่อย่างเรา หายใจ ผิดวิธีมาตลอด เอ๊ะ ! หายใจก็คือหายใจเข้าและหายใจออก แค่นั่นนี่ !? มีถูกหรือผิดด้วยหรอ ? เราเชื่อว่าเพื่อน ๆ ไม่เคยรู้มาก่อนแน่ ๆ เราจึงอยากให้เพื่อน ๆ ลองสังเกตการหายใจของเด็กทารก เข้า ออก ลึก และแม้กระทั้ง ช้า ง่าย และสงบ หากใครมีลูกมีหลานลองสังเกตให้ใกล้ชิดมากขึ้น จะเห็นเลยว่าหน้าอกไม่ได้ยกสูงขึ้นและต่ำลง แต่เป็น “ท้อง” ที่ยุบ ๆ พอง ๆ มาถึงตรงนี้บางคนคงร้องอ๋อ เพราะนั่นคือกระบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อระหว่างทรวงอกและช่องท้อง ที่เป็นตัวเคลื่อนไหว คราวนี้เราลองมาเปรียบเทียบกับวิธีการหายใจของพวกผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ กันบ้าง ซึ่งสิ่งที่พบก็คือ มันแตกต่างออกไปจากเด็กทารกอย่างแน่นอน…

ในปัจจุบันผู้คนมักมุ่งหน้าตั้งใจเรียน มุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่ออนาคตที่ดี แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ต้องแลกอะไรบางอย่างกลับมา ไม่ว่าสุขภาพทางด้านร่างกายที่อาจเป็นออฟฟิศซินโครม มีปัญหาเรื่องสายตา ในขณะเดียวกันสุขภาพใจอาจมีปัญหาในเรื่องของความเครียด อาการ Burnout Burndown รวมไปถึงความวิตกกังวลจนนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นการโฟกัสหรือมีแพสชั่นกับการหา งานอดิเรก ที่เราสนใจ ก็เป็นอีกวิธีที่ดีและใครหลายคนกำลังทำกัน เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพกายและใจ นี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก และถ้าหากเป็น งานอดิเรก เป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้วด้วยนั้น ก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกอิ่มเอมใจได้อย่างแน่นอน เพิ่มพลังบวกเหลือ ๆ ให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี และในลิสต์ไอเดียแนะนำงานอดิเรกที่หาทำได้ง่ายในยุคนี้ มีอะไรบ้าง ตรงกับใจคุณบ้างไหมเอ่ย.. ? แนะนำ 6 งานอดิเรก หาทำได้ง่าย ส่งเสริมสุขภาพใจที่ดี เพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง การทำ งานอดิเรก จะทำจากสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่แล้วก็ได้ หรือถ้าหากใครอยากหาอะไรใหม่ๆ ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่การทำงานอดิเรกขอแนะนำว่ามีการกำหนดช่วงเวลาใน 1 สัปดาห์อย่างชัดเจนจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นถ้ารอแต่วันว่าง สุดท้ายวันว่างอาจไม่มีอยู่จริงก็ได้ โดยไอเดียที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้ทำมีดังต่อไปนี้ 1. วาดรูปและระบายสีเรียนรู้ความรู้สึก การวาดรูปและระบายสีจะทำให้คุณโฟกัสลงไปในกระดาษ อยากจะวาดรูปแบบไหนก็วาด อยากเลือกระบายสีอะไรก็ระบาย เพียงแค่ปล่อยใจไปกับงานศิลปะเหล่านั้น เมื่อวาดผลงานเสร็จคุณจะโล่งใจขึ้นเพราะโฟกัสอยู่กับงาน ในขณะเดียวกันความรู้สึกอัดอั้นก็ออกผ่านภาพวาด ซึ่งงานอดิเรกนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก และมีหลายสตูดิโอเลยทีเดียวที่รับทำคิลปะบำบัดเพื่อเรียนรู้จิตใจของเราได้ดีมากยิ่งขึ้น 2. เขียน Diary แบบ Free writing สำหรับใครที่ชอบการเขียน โดยเฉพาะชาว introvert ขอแนะนำว่าลองหาสมุดเล่มหนึ่งมาทำเป็น Diary แต่ทีนี้ในการเขียนไม่จำเป็นต้องระบุว่าจะเขียนเรื่องอะไร จะใช้ภาษาแบบไหน จะลำดับเรื่องอย่างไร ขอแนะนำให้เขียนแบบ Free writing ที่ปล่อยมือให้เขียนตามความคิดที่แล่นอยู่ขณะนั้น เขียนไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ที่ต่อให้แม้ในหัวจะคิดว่า “คิดไม่ออกๆ” ก็ให้เขียนแบบนั้นไปเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้จะถือว่าเป็นการระบายความคิดในหัวและความรู้สึกที่ขุ่นข้องในใจ และหากมาอ่านทวนคุณจะรู้เลยว่ากำลังเครียดหรือคิดวนกับเรื่องอะไรอยู่ 3.…

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิด ทำให้รูปแบบการทำงานนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก หลายคนคงได้ยินคำว่า Work from home หรือ Hybrid work มาพอสมควร สภาพการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้มนุษย์ออฟฟิศมีพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลายคนรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ทำงานอยู่บ้านกับครอบครัว ทว่าขณะเดียวกันก็อยากยืดหยุ่นการทำงานและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าการบริหารองค์กรด้วยการทำงานรูปแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ Work Life Balance ของผู้คนอีกต่อไป ซึ่งหลายครั้งก็ไม่อาจรั้งพวกเขาให้อยู่กับเราได้นานเช่นกาลก่อน ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่าง The Great Resignation และ Quiet Quitting ในช่วงล่าสุดที่ผ่านมา และคล้ายกับว่านี่เป็น Butterfly Effect ที่มีผลต่อองค์กรในกาลข้างหน้าอย่างมากทีเดียว วันนี้เราจึงอยากแชร์เทรนด์การทำงานปัจจุบันที่สามารถตอบโจทย์ของการบริหารธุรกิจของคุณกันครับ ว่าจะไปในทิศทางไหนได้บ้าง กับ 5 รูปแบบการทำงานที่มาแรงในยุคใหม่ การทำงานยุคใหม่ที่มาแรง เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การทำงานอยู่ภายในออฟฟิศแบบซังกะตายแบบเดิม ๆ อาจเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้คนยุคใหม่เลือกอยู่กับเราน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการบริหารธุรกิจและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการขาดพนักงานที่สามารถรับผิดชอบในงานสำคัญ หรือจะเป็นรับภาระงานอันหนักหน่วงของพนักงานที่ยังเหลืออยู่ในบริษัท สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้พนักงานเกิดอาการ Burn Out และขาดแรงใจจะอยู่กับเราในที่สุด และจากที่เกริ่นกันไปแล้ว.. ทีนี้เรามาดูกันครับว่า มีรูปแบบการทำงานแบบใดบ้างที่จะทำให้การบริหารธุรกิจและองค์กรของเราเป็นเรื่องที่สะดวกยิ่งขึ้น 1. Remote and Hybrid work ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานทางไกลเป็นตัวเลือกลำดับแรกที่ดึงดูดใจพนักงานเก่าหรือคนอื่นที่พบเห็นใบสมัครในบริษัทของเราเป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะความสนใจ โดยรูปแบบการทำงานแบบทางใกล้จะมีหลายรูปแบบย่อย ตามแต่เราจะวางเงื่อนไขรูปแบบดังกล่าว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบย่อย ได้แก่ 2. Visual Team Building Google Meet, Zoom, Microsoft Team เป็นตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กของคุณได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าว การจะฟอร์มทีมสำหรับเรียกประชุมและคุยงานก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว และยิ่งมี VR หรือ Visual Reality เป็นหนึ่งในเครื่องมือจากนวัตกรรมสุดล้ำที่มีความสามารถจำลองภาพให้เสมือนจริงบนโลก Metaverse…

มีเป้าหมาย มีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีความฝัน แต่ยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อย ๆ ใครตั้ง เป้าหมาย ไว้เมื่อปีก่อน จนเวลาผ่านมาถึงท้ายปี และขึ้นปีใหม่แล้วก็ตาม แต่ยังไม่สำเร็จซักอย่าง ลองนำแนวคิดของเทคนิคการปลดปล่อยพลังเพื่อพิชิตเป้าหมายนี้ไปใช้ดู เมื่อเรารู้จุดมุ่งหมายในชีวิต กำหนดวิสัยทัศน์ และทำสิ่งที่เราต้องการและปรารถนาอย่างแท้จริงให้กระจ่างชัดขึ้นมาแล้ว จากนั้นเราต้องแปลงมันให้อยู่ในรูปของเป้าหมายและจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงและวัดผลได้ แล้วปฏิบัติไปตามนั้นด้วยความแน่ใจว่าเราจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้ สมองเป็นกลไกหนึ่งของการเสาะหาเป้าหมาย ไม่ว่าเราจะกำหนดเป้าหมายใดให้กับจิตใต้สำนึก สมองจะทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำเป้าหมายนั้นให้เป็นจริง เท่าไหร่และเมื่อไหร่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป้าหมายจะปลดปล่อยพลังของจิตใต้สำนึกออกมา มีเกณฑ์สองข้อด้วยกัน นั่นคือ เราจะต้องกำหนดเป้าหมายในแบบที่เราและคนอื่น ๆ สามารถวัดผลได้ เช่น การกำหนดเป้าหมายว่า ฉันจะลดน้ำหนักลง 5 กิโลกรัม แต่เดี๋ยวนะ อันนี้มันยังธรรมดาไป ! จะดีกว่าไหม ถ้า…ฉันจะลดน้ำหนักลง 5 กิโลกรัม ให้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ !!! ดังนั้นเกณฑ์สองข้อที่กล่าวไปข้างต้นนั้น หมายถึง “เท่าไหร่” และ “เมื่อไหร่” นั่นเอง Tip: ระบุเป้าหมายทุกด้านให้เฉพาะเจาะจงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น รุ่น สี ปีที่ผลิด ขนาด น้ำหนัก หรืออื่น ๆ จำไว้ว่า หากเป้าหมายคลุมเครือ ผลลัพธ์ก็จะคลุมเครือเช่นกัน เป้าหมาย เป็นมากกว่าแค่ ความต้องการ มีเหมือนกันที่ในบางครั้งเป้าหมายของเรา ไม่มีเกณฑ์วัดผล ซึ่งมันก็จะเป็นเพียงบางสิ่งที่เราปรารถนา หรือความต้องการ เช่น ฉันอยากเป็นเจ้าของบ้านที่มีสวนสวย ๆ หรือ ฉันอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาคนนั้น …อะไรแบบนี้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของเราได้ จำเป็นต้องมีเทคนิควิธีคิดเพื่อให้สามารถเกิดการวัดผลให้ได้…