Author: athena_abradmin

หากคุณเป็นคนทำธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เป็น SME หรือ Enterprise.. ในยุคดิจิทัลอย่างทุกวันนี้ คุณทราบไหมว่า ? แม้เทคโนโลยีจะช่วยให้คุณสามารถทำการตลาดได้ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สิ่งที่ห้ามลืมเป็นอันขาดคือ กลยุทธ์ (Strategy) เพราะธุรกิจจำเป็นต้องมีแผนรับมือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และแน่นอนว่า Marketing funnel (Mf) คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้ คุณคงได้ยินชื่อนี้อยู่บ้างในยุคดิจิทัล ดิสรัปชั่น ยุคที่เทคโนโลยี ดิจิทัลทูลต่าง ๆ เอื้ออำนวยความสะดวกแก่เราเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส แต่คำถามสำคัญคือ แล้วเครื่องมือหรือเทคโนโลยีเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ? เครื่องมือไหนที่จะสามารถนำมาปรับใช้เพื่อครองใจกลุ่มตลาดที่เราต้องการ.. *ยาวไป.. เลือกอ่านทีละเรื่อง* แตกต่างจาก Customer journey อย่างไร ? ก่อนจะไปเข้าเรื่องเครื่องมือที่เราคัดสรรมาให้คุณ เราอยากไขข้อสงสัยให้เคลียร์ขึ้นอีกสักหน่อย กับคำถามว่า “แล้วเจ้า Marketing funnel นั้นแตกต่างจาก Customer journey อย่างไร ?” นี่เป็นคำถามที่ดี.. เพราะโดยพื้นฐานแล้ว ทั้งสองสิ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้บริโภคและผู้พบเห็นเหมือนกัน หากตอบให้กระชับที่สุด Customer journey เป็นหลักการดูภาพรวมพฤติกรรมของคนที่เป็น ‘ลูกค้า’ ซึ่งหมายความว่าคน ๆ นั้นชำระเงินให้ธุรกิจของคุณแล้ว แต่.. Mf นั้นต่างออกไป Mf ให้ความสนใจต่อ ‘กลุ่มเป้าหมาย’ ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังไม่ได้จ่ายเงินให้กับธุรกิจของคุณ และแน่นอนว่า คนเหล่านั้นเป็น ‘ผู้มีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้า’ (Potential Customer) ของคุณในอนาคตอันใกล้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าธุรกิจของคุณมีระบบสมาชิก และมีคนกลุ่มนึงสนใจต่อการได้สิทธิประโยชน์จากการสมัครสมาชิก คนเหล่านี้แหละ คือผู้มีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าของคุณ.. จากแผนภาพด้านบนของ Marketing funnel ที่แสดงให้เห็นลักษณะของพีระมิดหัวคว่ำนี้เป็นแนวคิดหนึ่งของ Mf ที่ได้รับความนิยม (แต่หลายตำราก็มีหลายแนวคิดว่ากันไปตามที่แต่ละองค์ความรู้จะไปแตกหน่อต่อยอด) โดยพื้นฐานจะประกอบไปด้วย 5 กระบวนการ เริ่มจาก Awareness การดึงดูดหรือ กระตุ้นความสนใจ ให้คนหันมามอง เช่น กระตุ้นด้วยข้อความโฆษณาต่าง ๆ ผ่านการยิง ads บนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ Interest เมื่อคนหันมามองแล้ว คุณต้องทำให้เขาสนใจและตั้งใจ…

Read More

บนโลกนี้มีปัญหามากมายให้มากระทบให้เราก้าวข้ามผ่านไป แต่บางครั้งปัญหาก็ถาโถมเข้าใส่จนทำให้เกิด “ความรู้สึกดาวน์” หรืออาการจิตตก หลายครั้งหลายคนสามารถก้าวข้ามภาวะนั้นได้ด้วยตัวเองผ่านประสบการณ์หรือความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ทำเช่นนั้นได้ จนหลายครั้งความรู้สึกยิ่งดำดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ กว่าจะดึงสติไหวตัวทัน ความคิดก็พาโลดแล่นไปไกล.. ในบทความนี้เราจึงปรารถนาพาทุกคนไปลองสังเกตตัวเองเบื้องต้น เพื่อให้รู้เท่าทัน และรู้วิธีทางป้องกันตัวเองให้ไม่ไถลลึกลงไปตามความรู้สึกดาวน์นั้น *ข้อสำคัญ* คุณไม่จำเป็นเร่งรีบกับสิ่งนี้ หรือคิดว่าต้องทำมันให้ได้ทั้งหมด ให้คุณผ่อนคลายและเพียงแค่เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวคุณ คุณอาจจะเป็นคนที่ “อัพ” ผ่านตรงนี้ไปได้อย่างงดงาม “Your story isn’t over” ลองสังเกต.. ความรู้สึกดาวน์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ความรู้สึกดาวน์ของแต่ละคนมีลักษณะหลากหลายแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนมากแล้วจะเป็นความรู้สึกเชิงลบ รู้สึกเหงา เศร้า หดหู่ จมอยู่กับโลกแห่งความคิด ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากพบเจอใคร ไม่อยากทำอะไร แม้แต่สิ่งที่ตัวเองชื่นชอบก็ไม่สามารถทำได้ และถ้าถามว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ? ต้องบอกเลยว่าเกิดได้หลายสาเหตุมาก ทั้งเหตุการณ์ที่เผชิญหน้าโดยตรง หรือเหตุการณ์ของคนอื่นที่มากระทบ บรรยากาศที่ชวนหดหู่ รวมถึงการมองดูสิ่งเก่า ๆ ที่อาจจะเคยเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อจิตใจของคุณ ก็จะทำให้เกิดอาการจิตตกนี้ได้ หากคุณเข้าใจ “จุดกำเนิด” และ “รู้เท่าทัน” ในการรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ สิ่งนั้นจะช่วยเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณสามารถก้าวข้ามผ่านความรู้สึกดาวน์นั้นไปได้ รู้ตัว รู้ใจ รู้ทัน ความรู้สึกดาวน์ ก่อนเสี่ยงซึมเศร้า อย่างที่บอกไป.. คุณไม่จำเป็นต้องเร่งรีบทำมันให้ได้ทั้งหมด สำคัญคือต้องผ่อนคลาย และเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของคุณควบคู่กันไป ดังนั้นทริคในส่วนนี้จะเป็นวิธีที่ทำให้เรารู้ตัว รู้ใจ รู้ทัน ตัวเอง อีกทั้งยังสามารถ “หลีกเลี่ยง” ความรู้สึกดาวน์ ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ไม่ก็หายจากความรู้สึกดาวน์นั้นได้เลย เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะต้องทำอย่างไร 1. “อย่า” หาคำตอบจากความคิด ในทุกครั้งที่คุณอินกับความรู้สึกดาวน์ มักจะมีปัญหาหรือความกังวลใจเข้ามากระทบ เราต้อง “อย่า” พยายามหาคำตอบจากความคิด เช่น ทำไมเธอถึงจากไป.. ฉันไม่ดีตรงไหนเหรอ.. เพราะการหาคำตอบซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ยิ่งจะเป็นการเพิ่มความรู้สึกให้เจ็บปวด หรือดาวน์ลงได้ง่ายขึ้น คีย์เวิร์ดคือคุณอาจจะลองเปลี่ยนความคิดด้วยการ “ยอมรับ” กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นการดีที่สุด 2. ปล่อยให้สุด แต่หากความคิดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ตามมาคือความเจ็บปวดภายในร่างกายต่าง ๆ บางคนอาจจะปวดหัว บางคนเจ็บหน้าอก…

Read More

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความร้อนแรงของ House of the Dragon ซีรีส์ยอดนิยมส่งท้ายปี ดีไม่แพ้ซีรีส์ในสตอรี่ไลน์เดียวกันอย่าง Game of Thrones และเชื่อไหมว่า.. เพียงแค่ซีซันที่หนึ่งก็สามารถโกยสกอร์จากบ้าน imdb ไปถึง 8.6/10 และจาก Rotten Tomatoes 86% หากคุณเป็นคนนึงที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่าตัวละครใน House of the Dragon มีความโดดเด่นและบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของตัวละครนึงมักพาคุณไปเจอประเด็นต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้น ซับซ้อนแต่ก็สอดประสานกันได้อย่างสนุก แต่ละเอพพิโซดชวนให้รู้สึกอินไปด้วยกันกับตัวละครอย่างแนบเนียน และด้วยความมีสเน่ห์ของตัวละครแต่ละตัว เราจึงอดไม่ได้ที่จะนึกสนุก และนำ MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) มาใช้แยกแยะความเป็นลักษณะของบุคลิกภาพของตัวละครแต่ละตัว ทำไมต้อง MBTI x House of the Dragon MBTI เป็นเครื่องมือที่ใช้แยกแยะลักษณะบุคลิกภาพของแต่ละคน คุณอาจเคยได้ยินชื่อหรือลองเล่นเจ้าโมเดลยอดนิยมตัวนี้มาบ้างแล้ว ที่เห็นบ่อยคือ HR ของบริษัทชั้นนำหลายที่ นำมาประยุกต์ใช้ในแบบทดสอบเพื่อสมัครเข้าทำงานของพนักงาน ซึ่งนั่นแหละ.. ผลจาก MBTI จะแสดงให้เห็นถึงจุดแข็ง จุดอ่อน รวมถึงกระบวนการทางด้านจิตใจที่แต่ละคนถนัด เช่น การตัดสินใจ การรับรู้ข้อมูล แบ่งออกเป็น 4 ด้านด้วยกันดังต่อไปนี้ MBTI จะนำตัวอักษรที่ตรงกับความถนัดที่ได้จากการทำ แบบทดสอบบุคลิกภาพ มาครอสกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งหมด 16 รูปแบบบุคลิกภาพ ISTJ, ISTP, ISFJ, ISFP, INFJ, INFP, INTJ, INTP, ESTP, ESTJ, ESFP, ESFJ, ENFP, ENFJ, ENTP และ ENTJ ซึ่งเดี๋ยวจะถูกนำไปแสดงให้เห็นลักษณะบุคลิกภาพของตัวละครแต่ละตัวในซีรีส์ House of the Dragon ! เนื้อหาบางส่วนต่อจากนี้ อาจมีสปอยล์เล็กน้อย หากซีซันแรก คุณยังไม่ได้หรือดูยังไม่จบ พักตรงนี้ไว้ก่อน..…

Read More

เราเชื่ออย่างหนักแน่นว่ามนุษย์เพศชายเมื่อเข้าสู่วัยเลขสาม พอได้ส่องกระจกเมื่อไร ใจเริ่มหวั่น ๆ กังวลกับสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีของสภาพศีรษะ ผมร่วง เถิกสูง ผมที่เคยดกหนาเหมือนป่าอเมซอนกลับบางลง ๆ ซะอย่างงั้น ! ไม่แปลกหากคุณเป็นหนึ่งในนั้นที่นอยด์กับสถานการณ์นี้ เพราะ “หัวล้าน” ทำให้ผู้ชายดูแก่ ไม่มีเสน่ห์ ขาดความมั่นใจ เป็นปัญหาอมตะ ฆ่าไม่ตายของผู้ชายทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นแม้แต่ จูเลียส ซีซาร์ นักรบผู้น่าเกรงขามแห่งโรมัน ผู้ทำให้อาณาจักรโรมยิ่งใหญ่มีชื่อเสียง ก็หนีไม่พ้นสภาพผมบางหัวเถิกล้าน แม้จะใส่มาลัยเกียรติยศปกปิดไว้ก็ตามที อีกคนหนึ่งที่พบเห็นในหน้าประวัติศาสตร์โลกอยู่เป็นประจำคือจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส นโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ยังต้องหวีผมมาปิดศีรษะที่เถิกล้านอยู่ตลอด เหล่าเจนเทิ้ลแมนวัยสามสิบต้น ๆ อาจจะปลงเสียแล้วทันทีที่เริ่มเห็นสภาพศีรษะตนเองบางลงในกระจก แต่เราอยากตะโกนบอกคุณว่า “คุณยังพอมีเวลา !!!” ถ้าคุณเพิ่งอยู่ในเอพพิโซดแรก ๆ ของซีรีส์นี้ อย่าเพิ่งยอมรับกับโชคชะตาตามพันธุกรรมแบบเดียวกับ ซีซาร์ หรือ นโปเลียน คุณสามารถเลือกกิน “อาหาร” และปรับพฤติกรรมที่จะช่วยคุณจากปัญหาได้นี้อย่างแน่นอน อาหารคือตัวแปร.. แต่คุณต้องรู้สาเหตุของหัวล้านให้ดีอีกหน่อย โชคชะตาตามพันธุกรรม คำถามสำคัญคือ ปัญหาหัวล้านของผู้ชาย จริง ๆ แล้วแค่ไม่อินเทรนด์ หรือเหล่าชายชาติอ่อนไหวกับสภาพศีรษะแบบนั้นไปเอง ??? คำตอบดูจะเป็นทั้งสองอย่าง แม้เราจะไม่ได้บูลลี่คนหัวล้าน แต่ถ้าเลือกได้พวกเขาก็คงขอเลือกผมดกดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่าหัวล้านเป็นปัญหาของเพศชายมากกว่าเพศหญิงโดยไม่ต้องอ้างอิงผลวิจัยใด เพียงแค่คุณสาดสายตาไปที่คนใกล้ตัวอย่างญาติผู้ใหญ่ของคุณก็น่าจะยืนยันได้แล้ว และปัญหานี้พบทั้งชายฝรั่งและเอเชีย แต่ฝรั่งนั้นมีสัดส่วนที่พบได้เยอะกว่า แต่ก็น่าแปลกที่ชายเชื้อสายคนผิวดำแอฟริกา แทบจะไม่พบคนหัวล้านเลย อย่างที่เกริ่นไปบ้างแล้วว่าหัวล้านเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและชาติพันธุ์ของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประมาณร้อยละ 99 ของอาการหัวล้านในผู้ชายฝรั่ง จะเริ่มจาก ผมร่วงมาก และไม่ขึ้นมาใหม่ แนวผมที่หน้าผากเถิกกว้างและลึกเข้าไปบนศีรษะมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนมีลักษณะล้านเป็นวงที่กลางหัว ซึ่งหากผมยังร่วงไม่หยุด ท้ายที่สุดจะล้านจนเหลือเพียงเส้นผมส่วนโคนรอบศีรษะ เป็นหัวล้านรูปเกือกม้า ถ้าคุณนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงทรงผมของขุนช้าง ตัวละครในเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่จริงแล้วเส้นผมของเราก็คือโปรตีนที่มีชีวิต เมื่องอกขึ้นมาจากรูผม ตามสภาวะปกติเส้นผมจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ เฉลี่ยเดือนละ 1 เซนติเมตร นานประมาณ 2-6 ปี จากนั้นจะเข้าสู่ระยะหยุดนิ่งและร่วงหลุดไป ปกติแล้วเส้นผมบนศีรษะจะร่วงหลุดตามอายุขัยวันละ 50-100 เส้น โดยที่รูเส้นผมจะดันเส้นผมใหม่ขึ้นมาแทน ฮอร์โมนเพศ บอย ๆ แมน ๆ…

Read More

Main Focus Digital Disruption มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คนตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมากลยุทธ์ 4E เข้ามาแทนที่ 4P เมื่อใช้ร่วมกับ Martech จะยิ่งมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคความสำคัญของ Marketing 4E ซึ่งประกอบด้วย Experience, Exchange, Everyplace และ Evangelismจะบูรณาการ 4E ร่วมกับ Martech อย่างไร ? ตัวอย่างเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่นำไปใช้แล้ว คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม

Read More

หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ซึ่งเป็นประโยคที่แพร่หลายมาก ๆ ในทางพุทธศาสนา ว่ากันว่าเป็นคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ ความหมายโดยรวมคือเรื่องทุกเรื่องนั้นเริ่มต้นที่ “จิตใจ” คนเราคิดแบบไหน กำหนดจิตแบบไหน จะได้อะไรแบบนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นได้ด้วยใจ สำคัญที่ใจ และสำเร็จได้ด้วยใจ ซึ่งก็คล้ายกับหลักการของ Affirmation ที่เราจะนำมาแชร์กันผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้ Main Focus คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม

Read More

หากเราตั้งคำถามกับตัวบุคคลในด้าน การทำงาน ว่า จะทำงานอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ? หรือทำอย่างไรให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น ?.. เชื่อว่าคำถามเหล่านี้ตอบยากมาก ๆ เพราะการพัฒนาการทำงานหรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าในปัจจุบันการทำงานของคนยุคใหม่ล้วนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใน การทำงาน อยู่เสมอก็ตาม แต่นั่นก็ไม่วายต้องพบกับอุปสรรคที่เกิดจากปัญหาตัวบุคคล นั่นก็เพราะมนุษย์มิใช่เครื่องจักร ไม่สามารถทำงานอย่างมีสเถียรภาพได้ในทุกวัน ปัญหายอดฮิตที่มักพบ เช่น การบริหารเวลาไม่ดี ปัญหาการจัดการเรื่องส่วนตัว จัดลำดับความสำคัญงานไม่ถูกต้อง ขาดทักษะการสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้งานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ Main Focus คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม

Read More

มีแฟนเป็นคนขยันมันก็ดีต่อใจที่เขาเป็นคนเอาการเอางาน ในขณะที่หลายคู่กลับรู้สึกเพลียใจว่าแฟนบ้างานเกินไป จนแทบไม่มีเวลามาใส่ใจในเรื่องความรักกันบ้างเลย ทำให้เรารู้สึกน้อยใจอยู่บ่อย ๆ ว่าตอนนี้ยังรักกันอยู่หรือเปล่า เอาล่ะ ! วันนี้เรามี 5 วิธีรับมือง่าย ๆ ซึ่งเหมาะสำหรับคู่รักที่มีแฟนเป็นชาว Workaholic หรือ “คนบ้างาน” มาฝากนั่นเอง อ่านจบรับรองว่าคุณจะเข้าใจมนุษย์แฟนบ้างานคนนี้มากขึ้น และเผลอ ๆ จะทำให้ชีวิตคู่ลงตัวมากขึ้นด้วยค่ะ 1. Slow down ถามตัวเองก่อน… ข้อแรกนี้สำคัญ เป็นข้อเปิดหัวเลยก็ว่าได้ นั่นคือก่อนที่เราจะไปนอยด์ใส่ว่าเขาเป็นแฟนบ้างานนั้น ก่อนอื่น ถามตัวเองก่อนว่าแฟนบ้างานแล้วความรักยังดีอยู่ไหม ? เราต้องการมากเกินพอดีหรือไม่ ? เพราะสำหรับบางคู่ จริง ๆ การไปนอยด์ใส่กันมันกระทบต่อความสัมพันธ์ ในบางกรณีแม้ว่าแฟนจะเป็นพวกบ้างาน แต่ก็ยังหาเวลามาดูแลเอาใจใส่กันได้เป็นอย่างดีหรือในระดับที่พอดี หรือเขาเป็นแฟนในแบบที่เห็นงานสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนทุกเรื่องเสมอ คุณต้องทบทวนให้ดีก่อนตัดสินใจ 2. Say that ! ไม่พูดก็ไม่เข้าใจกัน ถ้าทบทวนข้อแรกดีแล้ว… นี่คือขั้นตอนต่อมา ก่อนอื่นเราอยากให้คุณเชื่อเถอะว่าคนบ้างานส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ตัวว่ากำลังบ้างานอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าใครกำลังเดือดแฟน ขอให้ลดระดับลงมาครึ่งนึงก่อนที่จะทำตามวิธีในขั้นตอนนี้ เพราะเราจะแนะนำให้คุณพูดมันออกมาค่ะ ! ถ้าเรามัวแต่ดราม่า น้อยใจเก็บไว้คนเดียวโดยไม่พูดออกมา แฟนบ้างานก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกเชื่อได้เลย ซึ่งจะดีกว่าไหมถ้าเราต้องการเวลาจากเขาหรืออยากให้เขาปรับอะไรบ้าง เราก็แค่ต้องใจเย็น ตั้งสติ ท่องไว้ว่าต้องใช้เหตุและผลเสมอ จากนั้นค่อย ๆ พูดความต้องการของเราออกมา คุณต้องรวบรวมสมาธิให้ดี และระมัดระวังให้ไม่นำอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จากนั้นอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเรื่องนี้กำลังเป็นปัญหากับชีวิตคู่ของเรา และคุณต้องการอะไรจากเขา พูดคุยกันบนพื้นฐานของคนที่ต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรัก แม้ท้ายที่สุด อาจจะมีทะเลาะกัน แต่ยังดีกว่าปล่อยเงียบให้เป็นปัญหากัดกินใจของเราต่อไป ผู้เสพติดงานนั้นมักจะไม่เห็นว่าพฤติกรรมของตัวเองเป็นปัญหา เพราะเมื่อพวกเขาทำงานปริมาณมาก พวกเขาก็มักจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น รวมถึงการเลื่อนตำแหน่งศ.เชาเฟลี. https://www.bbc.com/thai/international-43651278 3. Reasonable เข้าใจเหตุผลของชาว Workaholic เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แฟนบ้างานได้ก็คือ “ความมั่นคงทางการเงิน” นั่นหมายถึงเขาอยากทำงานเก็บเงินเพื่อมีอนาคตที่ดีกับเรา ในขณะที่เราต้องการ “ความมั่นคงทางความสัมพันธ์” ซึ่งถ้าต่างคนต่างเข้าใจความคิดของกันและกันแล้วยอมรับในตัวตนของเขาแบบนี้ให้ได้ โดยที่เขาก็ดูแลเราดีไม่ขาดตกบกพร่อง นับว่าโชคดีมาก ๆ ที่เจอคนพยายามทำทุกอย่างเพื่อชีวิตคู่ แต่ก็คอยเตือนว่าเป็นห่วงสุขภาพเหมือนกันนะ 4. Time Boxing ทำข้อตกลงเรื่องเวลา  มาถึงขั้นตอนนี้นั่นหมายถึงคุณประสบความสำเร็จไปขั้นนึงแล้วสำหรับการเปิดใจพูดคุยกัน จากนั้นนอกจากคุยกันจนเข้าใจดีแล้ว ตัวเรากับแฟนบ้างานต้องแบ่งเวลาให้ชัดเจนด้วยว่าเวลาไหนทำงาน ช่วงเวลาไหนให้กับครอบครัว ทำข้อตกลงจัดตารางเวลาให้ชัดเจนเลยถึงช่วงเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันบ้าง…

Read More

หลายครั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกมา เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่พอใจที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา แต่ทุกอย่างสามารถแก้ได้ เพียงแค่เรา “เข้าใจตัวเอง” ให้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเข้าใจได้นั้น ก็ต้องมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับเสียหน่อย เพื่อการพัฒนาที่ดีและตรงจุด เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Satir Model แนวคิดทางด้านจิตวิทยาเพื่อ บำบัดจิต ที่วงการจิตแพทย์ทั่วโลกต่างก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มต้นเข้าใจตัวเอง ด้วย ซาเทียร์โมเดล บำบัดจิต ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับแนวคิดของ Satir Model กันก่อน โดยแนวคิดนี้คิดโดย เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ แพทย์บำบัดครอบครัว ที่ได้นำเรื่องของจิตใจมนุษย์มาเปรียบเทียบเป็นภูเขาน้ำแข็ง ที่ปกติจะมียอดน้ำแข็งโผล่พ้นน้ำ ในขณะที่ภูเขาน้ำแข็งส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ก้นบึ้งของมหาสมุทร โดยสามารถแบ่งชั้น ๆ ได้ดังนี้ 1. พฤติกรรมที่แสดงออกมา (Behavior) สิ่งที่เห็นได้ชัดหรือเห็นได้ด้วยตาเปล่า นั่นก็คือพฤติกรรมที่สามารถแสดงออกได้ผ่านทางคำพูด น้ำเสียง อากัปกริยา หรือการแสดงออกต่าง ๆ ที่อาจตอบสนองกับตัวเอง หรือต้องการจะสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับความรู้สึก ตัวอย่างเช่น ลูกกลับบ้านช้า ไม่เป็นไปตามที่ตกลง พ่อแม่เลยตีลูก ซาเทียร์จัดให้ส่วนนี้เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งที่พ้นน้ำ 2. ความรู้สึก (Feelings) ความรู้สึก นับว่าเป็นสิ่งที่เรารู้สึกอยู่ภายในและเลือกที่จะแสดงออกมาให้เห็น เช่น ดีใจ เสียใจ เศร้า หดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้ เหนื่อย กลัว และอื่น ๆ ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นความรู้สึก ตัวอย่างเช่น พ่อแม่โกรธลูกที่กลับบ้านช้าสุด ๆ แต่ความรู้สึกของมนุษย์ ไม่ได้มีเพียงแค่ “ความรู้สึก” ที่แสดงออกมาเท่านั้น เพราะความรู้สึกของมนุษย์มีความซับซ้อนขึ้นไปอีกว่า ความรู้สึกที่ได้เกิดขึ้น แท้จริงแล้วในใจลึก ๆ เรารู้สึกอย่างไร จากตัวอย่างเดิม พ่อแม่กลับรู้สึกผิดที่โกรธลูก เพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โดยตั้งแต่ชั้นนี้เป็นต้นไปจะเป็นส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำทั้งหมด 3. การรับรู้ (Perceptions) การรับรู้หรือก็คือความคิดต่าง ๆ ที่เรามีต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ได้เกิดขึ้น โดยการรับรู้เหล่านี้อาจเป็นจริง อาจไม่เป็นจริง หรือมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น การที่ลูกมาช้าคือไม่เชื่อฟัง,…

Read More

หัวใจหลักของ Marketing 4.0 คือ การบูรณาการเครื่องมือทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่เกิดจากดิจิตัลเทคโนโลยีต่าง ๆ ผสมผสานเข้ากับ กลยุทธ์การตลาด จนเกิดเป็น Big Data, Marketing Automation, O2O (Online to Offline) ฯลฯ นั่นเอง ซึ่งแม้ว่าแค่ประโยคแรกของบทความจะเป็นคีย์ไฮไลต์ของคำตอบแล้วก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าคุณยังต้องการที่จะรู้จักเจ้ารุ่นล่าสุด 4.0 นี้อยู่ดี เพราะการก้าวเข้าสู่ยุค Marketing 4.0 ได้เกิดกลยุทธ์ใหม่ที่มัดใจลูกค้าได้ดีกว่ารุ่นเก่า ๆ นั่นก็คือ กลยุทธ์ 5A เป็นกลยุทธ์ที่ ฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์ด้านการตลาด และหนังสือ “Marketing 4.0” ได้กล่าวไว้ กลยุทธ์สุดปังนี้จะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง รอติดตามกันต่อจากนี้ได้เลย !… จะรู้จัก “รุ่นล่าสุด” ให้ดี ต้องเข้าใจ “รุ่นบุกเบิก” กันก่อน การจะเข้าถึงแก่นของ Marketing 4.0 อันดับแรกต้องทำความรู้จักเกี่ยวกับ “กลยุทธ์การตลาด” ในแต่ละยุคที่ผ่านมากันก่อน โดยเริ่มจาก “รุ่นบุกเบิก” เมื่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของดิจิตัลเทคโนโลยี ทำให้โมเดล AIDA ไม่ตอบโจทย์กลยุทธ์การตลาดในยุคใหม่เสียแล้ว จึงทำให้การตลาด “รุ่นล่าสุด” 4.0 ถือกำเนิดขึ้น ! AIDA ก็เอ้าต์ไปเสียแล้ว แล้วจะมีโมเดลหรือกลยุทธ์ใหม่ ๆ ไหนล่ะ ?! ที่จะมาตอบโจทย์กลยุทธ์การตลาดแบบ 4.0 นี้… Marketing 4.0 feat. กลยุทธ์สุดปัง 5A ช่วยมัดใจลูกค้า ดังที่ได้กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นว่า Marketing 4.0 ก็คือการผสมผสานของเครื่องมือทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ จนก่อกำเนิดเป็น Big Data, Marketing Automation, AI/Chatbot, O2O, Online Shopping เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงก่อเกิดกลยุทธ์สุดปัง 5A ที่ช่วยมัดใจลูกค้าได้ดีกว่าเดิม…

Read More