รวม 7 แอปเรียนภาษา ทั้งสนุกและได้ความรู้
*Trendy Now
ชั่วโมงนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความร้อนแรงของ House of the Dragon ซีรีส์ยอดนิยมส่งท้ายปี ดีไม่แพ้ซีรีส์ในสตอรี่ไลน์เดียวกันอย่าง Game of Thrones และเชื่อไหมว่า.. เพียงแค่ซีซันที่หนึ่งก็สามารถโกยสกอร์จากบ้าน imdb ไปถึง 8.6/10 และจาก Rotten Tomatoes 86% หากคุณเป็นคนนึงที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่าตัวละครใน House of the Dragon มีความโดดเด่นและบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของตัวละครนึงมักพาคุณไปเจอประเด็นต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้น ซับซ้อนแต่ก็สอดประสานกันได้อย่างสนุก…
*รักโลก รักสุขภาพ
หลายครั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกมา เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่พอใจที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา แต่ทุกอย่างสามารถแก้ได้ เพียงแค่เรา “เข้าใจตัวเอง” ให้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเข้าใจได้นั้น ก็ต้องมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับเสียหน่อย เพื่อการพัฒนาที่ดีและตรงจุด เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Satir Model…
เช็คความเสี่ยงก่อนจะสาย.. รู้ก่อนไม่มีคำว่า ธุรกิจเจ๊ง
“Put the Right Man on the Right Job” วิธีเลือกคนให้เหมาะกับงาน
การเรียนภาษาใครว่าต้องจริงจังเคร่งเครียดเสมอไป วันนี้เราได้รวบรวมแอปพลิเคชั่นเรียนภาษาต่างประเทศหรือ แอปเรียนภาษา ยอดนิยม ที่มีคะแนนรีวิวสูง ๆ ทั้งนั้น ใครหลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ผลจริง” และนอกจากเรียนภาษาที่สองหรือสามจะเป็นการพัฒนาตนเอง เพิ่มสกิลและศักยภาพในการทำงานแล้ว ขอบอกเลยว่าการเลือกเรียนภาษาผ่านแอปพลิเคชั่นแบบออนไลน์นั้น สะดวก ประหยัดค่าเดินทาง และยังแฝงไปด้วยความสนุกเพลิดเพลิน อีกทั้งยังช่วยสร้างการจดจำได้ดีกว่าบทเรียนเล่มหนา ๆ ที่ต้องนั่งท่องจำแต่ไม่เคยได้ออกเสียงหรือเขียนจริง ซึ่งแอปเหล่านี้ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ทักษะในการเรียนพัฒนาได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย 7 แอปเรียนภาษา…
กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าในทุกวินาทีนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะไม่รู้จักปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่มีการพัฒนาเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ประจำปี 2023 นี้ อย่างเจ้า “ChatGPT” ปัญญาประดิษฐ์ เอไอสมองเพชร ตัวช่วยชั้นดีที่เข้ามาสร้างความฮือฮา สร้างความตื่นตัวให้กับทุกวงการ รวมถึงบางส่วนงานที่ยกเอาการใช้ ChatGPT เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนคนจริง ๆ บ้างแล้ว ถึงจะอย่างนั้น.. ก็อย่าลืมว่ามนุษย์อย่างเราก็คือผู้สร้างเจ้าสิ่งประดิษฐ์นี้ขึ้นมา แทนที่เราจะไปมัวนั่งกลัวว่าปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้จะเข้ามา Disrupt เรา จะดีกว่าไหม ??? ถ้าหากเราพลิกสถานการณ์จากผู้ตามเป็นผู้ควบคุมแทน…
“Good health is true wealth” สุขภาพดีคือความมั่งคั่งที่แท้จริง buzzword คุ้นหูนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เมื่อเราทุกคนต่างรู้ดีว่าโลกของเราในทุกวันนี้ได้รับผลร้ายทั้งทางตรงและทางอ้อมจากอุตสาหกรรม ภาวะเรือนกระจก การตัดไม้ทำลายป่าของมนุษย์ ส่งผลให้สิ่งมีเจือปนในอากาศ สารเคมีในอาหาร นำพามาซึ่งเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส และโรคภัยไข้เจ็บสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ และเริ่มมีกลุ่มคนที่ตระหนักถึงภัยคุกคามที่มองไม่เห็นนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย…
Main Focus Digital Disruption มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คนตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมากลยุทธ์ 4E เข้ามาแทนที่ 4P เมื่อใช้ร่วมกับ Martech…
ลองทำไปด้วยกัน.. สร้าง Business Model Canvas โมเดลธุรกิจที่เน้นความเร็ว รองรับการเปลี่ยนแปลง
โลกธุรกิจยุคดิจิทัลทุกวันนี้.. การแข่งขันสูง ต้องแข่งกับเวลา วิธีบริหารแบบเดิมที่เน้นวางแผนกลยุทธ์ให้แน่นอนก่อนแล้วค่อยลงมือทำ ถือว่าช้าเกินไปและใช้ไม่ได้ผลดีกับยุคนี้แล้ว ซึ่งปัญหานี้ก่อให้เกิดโซลูชันการบริหารแบบใหม่ คือ “การบริหารด้วย Business Model…
วิธีคิดหาไอเดียสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชีลมีเดียที่ unique เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร ถือเป็นสกิลที่สำคัญมากของนักการตลาดสมัยใหม่ในการทำ Content Marketing เพราะหากมีคอนเทนต์ที่ดี…
แม้ว่าสงครามและโรคระบาดจะเริ่มซาลงกว่าแต่ก่อน ทว่ากระแสเทรนด์ดิจิทัลก็ยังคงมาแรงไม่หยุดยั้ง เพียงไม่ทันไรโลกของเราก็เริ่มพลัดเปลี่ยนจาก Digital Marketing (DM) สู่ Metaverse Marketing (MM)…
ยุคนี้นับว่าเป็นยุคแห่งการทำ Content Marketing เพื่อให้เกิดไวรัล ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร บทความ วลีเด็ด คำคม แบนเนอร์ คลิปวีดีโอ…
สิ่งที่เรียกว่า ‘ธุรกิจ’ ในสายตาของคุณนั้นคืออะไร ?.. หากย้อนกลับไปสิบถึงยี่สิบปีก่อน การมีแบรนด์คงไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง พ่อค้าแม่ขายตลาดนัด คุณป้าร้านขายของชำ ไปจนถึงอาเฮียร้านห้องแถวขายอุปกรณ์ก่อสร้าง พวกเขาก็ยังสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ…
Athena new release
ถอดบทเรียน “ธุรกิจเจ๊ง” เช็คความเสี่ยงว่าธุรกิจคุณเข้าขั้นวิกฤตแล้วหรือยัง ? ปกติแล้วบทความส่วนใหญ่จะให้หนทางทำอย่างไรก็ได้ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำเคล็ดลับต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าหากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจหรือทำธุรกิจแล้วกำลังประสบกับความเสี่ยงในการทำให้ ธุรกิจเจ๊ง…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? Convincing จิตวิทยาและวาทศิลป์ในการโน้มน้าวใจ “เคล็ดลับ! การโน้มน้าวใจคนให้สำเร็จ ด้วยเทคนิคเชิงจิตวิทยาและศิลปะการพูด”หลักการและเหตุผลการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันหลากหลายองค์กรต่างเห็นความสำคัญถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์”บุคลากร”ทางด้านทัศนคติกระบวนการความคิดให้เกิดความสุขในการทำงาน องค์กรจึงต้องนำศาสตร์และศิลป์ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ การจูงใจ การเจรจาต่อรอง…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? หลักสูตร Generative AI for Productivity เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting…
เปิดรับสมัครแล้ว คอร์สเรียนออนไลน์ “ก้าวแรกสู่ การพูดในที่สาธารณะ” คอร์สเรียนทักษะการพูดในที่สาธารณะที่โฟกัสตรงจุด ทำให้คุณพัฒนาทักษะการพูดเป็นเร็วขึ้น SPEAK SPARK ได้กลั่นกรอง “ศาสตร์และศิลป์”…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? OKRs & Performance Management for Supervisor หลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ OKRs…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? 7 Steps to Success 7 ทักษะสู่การเป็นนักขายมือทอง “ขายอย่างไร? ให้ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้า ได้ทั้งยอดขายและความสัมพันธ์”…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? หลักสูตรวุฒิบัตร การบริหารความเสี่ยงองค์กร รุ่นที่ 24 (Risk Management รุ่นที่ 24) หลักการและเหตุผล…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? Marketing Analysis in Action หลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ การวิเคราะห์ทางการตลาด เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลงานขององค์กรเพื่อให้ได้งานเชิงพัฒนามากขึ้น หลายองค์กรได้เลือกทำการปรับปรุงแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดผลงานเช่น KPIs โดยเปลี่ยนไปเป็นการตั้งเป้าหมายในเชิงพัฒนา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลงานแบบที่มุ่งเหตุที่ทำให้เกิดผล และผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการ มากกว่าที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานแบบงานประจำ และตัวชี้วัดผลงานที่มุ่งวัดผลเบื้องต้นเท่านั้น…
คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? ทําความรู้จักกับไคเซ็น (KAIZEN) เครื่องมือที่ช่วยในการทําไคเซ็นในสํานักงาน หมวดหมู่ งานบุคคล HR การทำงาน…
ไม่ตกเทรนด์ Eco Friendly รักษ์โลกด้วยแอปพลิเคชัน Sustainability
ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย ตลอดจนการลงทุนาสร้างโปรเจคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร และแน่นอนว่ามันคีพคูลเข้ากับเทรนด์ Eco Friendly ในเจเนอเรชั่นนี้มาก…
ทุกคนมีเวลาใน 1 วันเท่ากับ 24 ชั่วโมง แต่ว่าชีวิตและหน้าที่ของเรานั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่ไม่สามารถจัดแจงเวลาของตัวเองได้ ก็อยากจะขอแนะนำวิธี Work Life Balance ที่จะมาช่วยจัดการชีวิตที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ให้กลับมาเป็นระเบียบ และสามารถมีเวลาว่างเพียงพอให้คุณได้ไปทำกิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบ งานอดิเรกอื่น ๆ หรือจะอยู่กับครอบครัวและคนรอบข้างก็ได้เช่นเดียวกัน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนบ้าง.. เลือกใช้ให้เหมาะปรับใช้ให้เเมชกับคุณ ! รวมวิธีเด็ด Work Life Balance ปรับให้เข้ากับสไตล์คุณ ก่อนอื่นต้องบอกว่าการ Work Life Balance ของแต่ละคนจะไม่มีทางเหมือนกัน แต่จะมีวิธีการหรือสูตรสำเร็จที่คล้ายกัน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคุณได้ ซึ่งสูตรที่จะแนะนำต่อไปนี้นับว่าเป็นวิธีที่นิยมที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ และแต่ละสูตรก็มีประสิทธิภาพมาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือจำเป็นต้องเริ่มที่การ ปรับ mindset หรือกรอบความคิดของตัวเองให้ได้ก่อน จำไว้ว่า.. มิติของชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่เรื่องงาน แต่ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าหากปรับ mindset ไม่ได้ ต่อให้สูตรใด ๆ วิเศษแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จอย่างแน่นอน 1. สูตรแบ่งเวลา 8 + 8 + 8 = 24 ชั่วโมง สูตรแรกนับว่าเป็นนาฬิกาชีวิตที่ทุกคนพอจะรู้จักกันอยู่แล้ว นั่นก็คือ นอนหลับเป็นเวลา 8 ชั่วโมง , ทำงาน 8 ชั่วโมง และทำกิจกรรมอื่น ๆ อีก 8 ชั่วโมง วิธีนี้ถือเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วของการทำ Work Life Balance แต่จะต้องกำหนดเวลาในแต่ละส่วนให้ชัดเจนอย่างดี ไม่มีการผ่อนผันหรือผ่อนปรนใด ๆ…
หลังจากเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิด ทำให้รูปแบบการทำงานนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก หลายคนคงได้ยินคำว่า Work from home หรือ Hybrid work มาพอสมควร สภาพการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้มนุษย์ออฟฟิศมีพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลายคนรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ทำงานอยู่บ้านกับครอบครัว ทว่าขณะเดียวกันก็อยากยืดหยุ่นการทำงานและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าการบริหารองค์กรด้วยการทำงานรูปแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ Work Life Balance ของผู้คนอีกต่อไป ซึ่งหลายครั้งก็ไม่อาจรั้งพวกเขาให้อยู่กับเราได้นานเช่นกาลก่อน ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่าง The Great Resignation และ Quiet Quitting ในช่วงล่าสุดที่ผ่านมา และคล้ายกับว่านี่เป็น Butterfly Effect ที่มีผลต่อองค์กรในกาลข้างหน้าอย่างมากทีเดียว วันนี้เราจึงอยากแชร์เทรนด์การทำงานปัจจุบันที่สามารถตอบโจทย์ของการบริหารธุรกิจของคุณกันครับ ว่าจะไปในทิศทางไหนได้บ้าง กับ 5 รูปแบบการทำงานที่มาแรงในยุคใหม่ การทำงานยุคใหม่ที่มาแรง เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การทำงานอยู่ภายในออฟฟิศแบบซังกะตายแบบเดิม ๆ อาจเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้คนยุคใหม่เลือกอยู่กับเราน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการบริหารธุรกิจและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการขาดพนักงานที่สามารถรับผิดชอบในงานสำคัญ หรือจะเป็นรับภาระงานอันหนักหน่วงของพนักงานที่ยังเหลืออยู่ในบริษัท สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้พนักงานเกิดอาการ Burn Out และขาดแรงใจจะอยู่กับเราในที่สุด และจากที่เกริ่นกันไปแล้ว.. ทีนี้เรามาดูกันครับว่า มีรูปแบบการทำงานแบบใดบ้างที่จะทำให้การบริหารธุรกิจและองค์กรของเราเป็นเรื่องที่สะดวกยิ่งขึ้น 1. Remote and Hybrid work ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานทางไกลเป็นตัวเลือกลำดับแรกที่ดึงดูดใจพนักงานเก่าหรือคนอื่นที่พบเห็นใบสมัครในบริษัทของเราเป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะความสนใจ โดยรูปแบบการทำงานแบบทางใกล้จะมีหลายรูปแบบย่อย ตามแต่เราจะวางเงื่อนไขรูปแบบดังกล่าว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบย่อย ได้แก่ 2. Visual Team Building Google Meet, Zoom, Microsoft Team เป็นตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กของคุณได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าว การจะฟอร์มทีมสำหรับเรียกประชุมและคุยงานก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว และยิ่งมี VR หรือ Visual Reality เป็นหนึ่งในเครื่องมือจากนวัตกรรมสุดล้ำที่มีความสามารถจำลองภาพให้เสมือนจริงบนโลก Metaverse…
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด.. กรุงโรมก็ไม่ได้สร้างด้วยคนเพียงคนเดียวฉันนั้น แน่นอนว่าเหนือสิ่งอื่นใดหากคุณต้องการทำงานสเกลใหญ่ให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากสกิลของคนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดหนีไม่พ้นการสร้าง “ทีมเวิร์ค” ที่ดี เพื่อที่จะสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งประโยชน์ทางตรงที่คุณเห็นได้ชัดของการมีทีมเวิร์คที่ดี นั่นคือคุณภาพของงาน ปริมาณ และเวลาที่ดีขึ้น ส่วนประโยชน์ทางอ้อมคือองค์กรได้พัฒนาองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว แต่การสร้างทีมเวิร์คให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีได้นั้น.. ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมเวิร์คที่ทำงานให้ออกมาดีได้นั้นไม่ใช่ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ หากคุณเป็นหัวหน้าและมีบทบาทในการจัดการทรัพยากรบุคคล สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องมีทักษะที่ดีในการจัดสรรคนให้ลงตัว สกิลของแต่ละคนต้องสอดคล้องเหมาะสมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง จำนวนคนต่อทีมต้องพอดีเหมาะสมกับปริมาณงาน ไม่ใช่ทำงานร่วมกันแล้วกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่แม้ว่าการจัดการกับคนคือเรื่องน่าปวดกหัวที่สุดของทุกกิจกรรมในองค์กร ซึ่งยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางทำให้ดีได้ เอาล่ะ!.. งั้นต่อไปนี้คุณจะได้รู้ว่าการสร้าง ทีมเวิร์ค ที่ดีมีแนวคิดอย่างไร เริ่มจากคิดก่อนว่า.. ทีมเวิร์คที่ดีต้องมีกี่คน ? จากที่บอกไปว่า.. จำนวนคนต่อทีมต้องพอดีเหมาะสมกับปริมาณงาน ต้องไม่หลวมแต่ก็ต้องไม่บีบรัดจนเกินไป การที่จะสร้าง ทีมเวิร์ค ขึ้นมา ก่อนอื่นขอแนะนำให้คุณนิยามสเกลของงานก่อนว่ามีขนาดระดับไหน เล็ก (S) กลาง (M) หรือ ใหญ่ (L) หากงานของคุณมีปริมาณมาก มีความละเอียดและซับซ้อน อาจมีระดับใหญ่มาก (XL) ด้วยก็ได้ ซึ่งใช้แนวคิดเดียวกัน เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างทีมที่ดีขึ้นมา มีจำนวนคนต่อทีมเหมาะสมจนสามารถเพิ่มศักยภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่ Small Sizing งานขนาดเล็ก จำนวนคนที่คุณควรจัดให้เหมาะสมต่อทีมคือประมาณ 4 – 5 คน รวมหัวหน้าทีม (Leader) โดยคนกลุ่มนี้ควรมีหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกัน เพื่อที่ว่าทุกคนจะสามารถทำงานตามหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยมีหัวหน้าทีมคอยแนะนำ ให้คำปรึกษา ช่วยแก้ปัญหา และผสานงานแต่ละส่วนเพื่อให้ผลงานออกมาเสร็จสมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมาย Medium Sizing งานขนาดกลาง แนะนำว่าจำนวนที่เหมาะสมคือ 6 – 7 คน โดยคุณควรกำหนดให้ทีมมีทั้งหัวหน้าทีมและรองฯ ส่วนสมาชิกที่เหลือควรมีหน้าที่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าหากตำแหน่งหน้าที่ใดไม่สามารถมีแค่คนเดียวได้ คุณอาจเพิ่มให้มีสองคนที่ทำหน้าที่เดียวกันก็ถือว่าเป็นจำนวนกำลังดี…
การ ทำธุรกิจกับเพื่อน หรือแฟน ใครหลายคนต่างก็บอกว่าเป็นความหายนะ เพราะธุรกิจอาจพังยังไม่พอ คุณยังอาจจะเสียความสัมพันธ์กับเขาเหล่านั้นอีกด้วย งานนี้ไม่มีอะไรคุ้มค่าเลย บางรายโชคดีหน่อยอาจจะแยกย้ายกันด้วยดี แต่ก็คงมีตะขิดตะขวงใจกันบ้าง มองหน้ากันอย่างคุ้นชินไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว ตัวอย่างด้านไม่ดีมีมากมายให้พบเห็น เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจกับเพื่อนหรือแฟน หลายคนจึงคิดว่าไม่เวิร์คแน่ ๆ แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ ใช่ว่าจะมีแต่คนที่ล้มเหลว ที่ประสบความสำเร็จมีให้เห็นก็ไม่น้อย อย่างเช่น Airbnb ที่ก่อตั้งโดย สามเพื่อนเกลอ Nathan Blecharczyk, Brian Chesky and Joe Gebbia หรือ Hewlett-Packard ก็เริ่มจากสองเพื่อนซี้ที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน Bill Hewlett และ Dave Packard Fun-Fact : Big Tech. Company ชื่อดังระดับโลก ที่เรารู้จัก ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft และ Apple ต่างก็ไม่ได้เริ่มต้นจากคน ๆ เดียว โดย Google ริเริ่มจาก Sergey Brin และ Larry Page,Microsoft : Bill Gates และ Paul Allen, และ Apple : Steve Wozniak และ Steve Jobs หากคุณเห็นรายชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ แล้วเกิดฮึกเหิมชวนเพื่อนซี้หรือคนรักลงขันทันที นั่นก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเสมอไป หากคิดเพียงว่า เพื่อกันทำด้วยกันเพียงใช้ใจแลกใจ คงจะไมไ่ด้ และหากมีการวางแผนที่ไม่เพียงพอ…
Life insurance has several benefits, but it’s not right for everyone. เราทุกคนต่างรู้ดีว่า ประกันชีวิต เป็นต้นทุนคงที่ที่กินสัดส่วนค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวค่อนข้างมาก เผลอ ๆ เป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่รองลงมาจากการซื้อบ้าน ที่ดิน เลยก็ว่าได้ ยกตัวอย่าง หากเราจ่ายค่าเบี้ยประกันประมาณปีละ 3 หมื่นบาท หากจ่ายติดต่อกัน 30 ปี รวมเท่ากับ 9 แสนบาท ถ้าบางเเพคเกจปีละ 4 หมื่นบาทบวก ๆ จ่ายตลอด 30 ปี ยอดรวมก็ทะลุล้านไปแล้ว ประกันบางแห่งชอบทำแผนค่าใช้จ่ายมาให้เห็นภาพว่ามีจำนวนเล็กน้อยเมื่อเฉลี่ยเป็นรายเดือน แต่หากรวมเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมดกลับพอกพูดในชั่วพริบตา ซื้อเพื่อเก็บออม ไม่ใช่ซื้อไว้ก่อน มีคนจำนวนมากไม่รู้ว่าหากลงทะเบียนในระบบเงินบำนาญแห่งชาติหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินบำนาญพื้นฐานหรือเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบางคนก็ไม่ทราบว่าประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาพยาบาลขั้นสูงซึ่งมีราคาแพงเกือบทั้งหมด สิ่งสำคัญประการแรกคือ ต้องขยันรวบรวมข้อมูล นอกจากนี้ให้คิดพิจารณาว่า “จำนวนเงินเอาประกันภัยที่จำเป็นจริง ๆ คือเท่าไหร่” “ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยเท่าไหร่และเมื่อใด” เพราะหลักการของเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงคิดว่า “แค่ประกัน ซื้อไปแล้วกัน” แต่ต้องคิดว่า “เก็บเงินก่อนแล้วค่อยซื้อประกันเสริมในส่วนที่ครอบคลุมไม่หมด” คงจะดีกว่า… ประกันชีวิตอาจไม่ต่างจากการพนัน ทำไมกล่าวเช่นนั้น ! ประกันชีวิต เหมือนการพนันอย่างนั่นหรือ !? ประกันชีวิต คือการจ่ายเบี้ยประกันในจำนวนที่ต้องการในช่วงเวลาที่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับคุณ แล้วคนอื่นจะลำบาก คำถามคือแล้วช่วงเวลานั้น มันคือตอนไหน ? สำหรับคนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าคือช่วงที่ลูกยังเด็กทำให้คู่สมรสไม่สามารถหาเวลาไปทำงานหาเงินได้มากนัก หรือกินเวลาประมาณ 20 ปี จนกว่าบุตรของคุณจะบรรลุนิติภาวะ ยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หากคุณเป็นคนโสดก็แทบจะไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิต เพราะไม่มีคนข้างหลังคุณที่จะต้องเดือดร้อนหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือนอกจากนี้ในกรณีที่คู่สมรสก็ทำงาน คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิตถึงขนาดนั้นเช่นกัน…