Author: athena_abradmin
เราเชื่ออย่างหนักแน่นว่ามนุษย์เพศชายเมื่อเข้าสู่วัยเลขสาม พอได้ส่องกระจกเมื่อไร ใจเริ่มหวั่น ๆ กังวลกับสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีของสภาพศีรษะ ผมร่วง เถิกสูง ผมที่เคยดกหนาเหมือนป่าอเมซอนกลับบางลง ๆ ซะอย่างงั้น ! ไม่แปลกหากคุณเป็นหนึ่งในนั้นที่นอยด์กับสถานการณ์นี้ เพราะ “หัวล้าน” ทำให้ผู้ชายดูแก่ ไม่มีเสน่ห์ ขาดความมั่นใจ เป็นปัญหาอมตะ ฆ่าไม่ตายของผู้ชายทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นแม้แต่ จูเลียส ซีซาร์ นักรบผู้น่าเกรงขามแห่งโรมัน ผู้ทำให้อาณาจักรโรมยิ่งใหญ่มีชื่อเสียง ก็หนีไม่พ้นสภาพผมบางหัวเถิกล้าน แม้จะใส่มาลัยเกียรติยศปกปิดไว้ก็ตามที อีกคนหนึ่งที่พบเห็นในหน้าประวัติศาสตร์โลกอยู่เป็นประจำคือจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส นโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ยังต้องหวีผมมาปิดศีรษะที่เถิกล้านอยู่ตลอด เหล่าเจนเทิ้ลแมนวัยสามสิบต้น ๆ อาจจะปลงเสียแล้วทันทีที่เริ่มเห็นสภาพศีรษะตนเองบางลงในกระจก แต่เราอยากตะโกนบอกคุณว่า “คุณยังพอมีเวลา !!!” ถ้าคุณเพิ่งอยู่ในเอพพิโซดแรก ๆ ของซีรีส์นี้ อย่าเพิ่งยอมรับกับโชคชะตาตามพันธุกรรมแบบเดียวกับ ซีซาร์ หรือ นโปเลียน คุณสามารถเลือกกิน “อาหาร” และปรับพฤติกรรมที่จะช่วยคุณจากปัญหาได้นี้อย่างแน่นอน อาหารคือตัวแปร.. แต่คุณต้องรู้สาเหตุของหัวล้านให้ดีอีกหน่อย โชคชะตาตามพันธุกรรม คำถามสำคัญคือ ปัญหาหัวล้านของผู้ชาย จริง ๆ แล้วแค่ไม่อินเทรนด์ หรือเหล่าชายชาติอ่อนไหวกับสภาพศีรษะแบบนั้นไปเอง ??? คำตอบดูจะเป็นทั้งสองอย่าง แม้เราจะไม่ได้บูลลี่คนหัวล้าน แต่ถ้าเลือกได้พวกเขาก็คงขอเลือกผมดกดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่าหัวล้านเป็นปัญหาของเพศชายมากกว่าเพศหญิงโดยไม่ต้องอ้างอิงผลวิจัยใด เพียงแค่คุณสาดสายตาไปที่คนใกล้ตัวอย่างญาติผู้ใหญ่ของคุณก็น่าจะยืนยันได้แล้ว และปัญหานี้พบทั้งชายฝรั่งและเอเชีย แต่ฝรั่งนั้นมีสัดส่วนที่พบได้เยอะกว่า แต่ก็น่าแปลกที่ชายเชื้อสายคนผิวดำแอฟริกา แทบจะไม่พบคนหัวล้านเลย อย่างที่เกริ่นไปบ้างแล้วว่าหัวล้านเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและชาติพันธุ์ของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประมาณร้อยละ 99 ของอาการหัวล้านในผู้ชายฝรั่ง จะเริ่มจาก ผมร่วงมาก และไม่ขึ้นมาใหม่ แนวผมที่หน้าผากเถิกกว้างและลึกเข้าไปบนศีรษะมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนมีลักษณะล้านเป็นวงที่กลางหัว ซึ่งหากผมยังร่วงไม่หยุด ท้ายที่สุดจะล้านจนเหลือเพียงเส้นผมส่วนโคนรอบศีรษะ เป็นหัวล้านรูปเกือกม้า ถ้าคุณนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงทรงผมของขุนช้าง ตัวละครในเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่จริงแล้วเส้นผมของเราก็คือโปรตีนที่มีชีวิต เมื่องอกขึ้นมาจากรูผม ตามสภาวะปกติเส้นผมจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ เฉลี่ยเดือนละ 1 เซนติเมตร นานประมาณ 2-6 ปี จากนั้นจะเข้าสู่ระยะหยุดนิ่งและร่วงหลุดไป ปกติแล้วเส้นผมบนศีรษะจะร่วงหลุดตามอายุขัยวันละ 50-100 เส้น โดยที่รูเส้นผมจะดันเส้นผมใหม่ขึ้นมาแทน ฮอร์โมนเพศ บอย ๆ แมน ๆ…
Main Focus Digital Disruption มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คนตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมากลยุทธ์ 4E เข้ามาแทนที่ 4P เมื่อใช้ร่วมกับ Martech จะยิ่งมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคความสำคัญของ Marketing 4E ซึ่งประกอบด้วย Experience, Exchange, Everyplace และ Evangelismจะบูรณาการ 4E ร่วมกับ Martech อย่างไร ? ตัวอย่างเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่นำไปใช้แล้ว คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม
หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ซึ่งเป็นประโยคที่แพร่หลายมาก ๆ ในทางพุทธศาสนา ว่ากันว่าเป็นคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ ความหมายโดยรวมคือเรื่องทุกเรื่องนั้นเริ่มต้นที่ “จิตใจ” คนเราคิดแบบไหน กำหนดจิตแบบไหน จะได้อะไรแบบนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นได้ด้วยใจ สำคัญที่ใจ และสำเร็จได้ด้วยใจ ซึ่งก็คล้ายกับหลักการของ Affirmation ที่เราจะนำมาแชร์กันผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้ Main Focus คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม
หากเราตั้งคำถามกับตัวบุคคลในด้าน การทำงาน ว่า จะทำงานอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ? หรือทำอย่างไรให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น ?.. เชื่อว่าคำถามเหล่านี้ตอบยากมาก ๆ เพราะการพัฒนาการทำงานหรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าในปัจจุบันการทำงานของคนยุคใหม่ล้วนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใน การทำงาน อยู่เสมอก็ตาม แต่นั่นก็ไม่วายต้องพบกับอุปสรรคที่เกิดจากปัญหาตัวบุคคล นั่นก็เพราะมนุษย์มิใช่เครื่องจักร ไม่สามารถทำงานอย่างมีสเถียรภาพได้ในทุกวัน ปัญหายอดฮิตที่มักพบ เช่น การบริหารเวลาไม่ดี ปัญหาการจัดการเรื่องส่วนตัว จัดลำดับความสำคัญงานไม่ถูกต้อง ขาดทักษะการสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้งานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ Main Focus คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม
มีแฟนเป็นคนขยันมันก็ดีต่อใจที่เขาเป็นคนเอาการเอางาน ในขณะที่หลายคู่กลับรู้สึกเพลียใจว่าแฟนบ้างานเกินไป จนแทบไม่มีเวลามาใส่ใจในเรื่องความรักกันบ้างเลย ทำให้เรารู้สึกน้อยใจอยู่บ่อย ๆ ว่าตอนนี้ยังรักกันอยู่หรือเปล่า เอาล่ะ ! วันนี้เรามี 5 วิธีรับมือง่าย ๆ ซึ่งเหมาะสำหรับคู่รักที่มีแฟนเป็นชาว Workaholic หรือ “คนบ้างาน” มาฝากนั่นเอง อ่านจบรับรองว่าคุณจะเข้าใจมนุษย์แฟนบ้างานคนนี้มากขึ้น และเผลอ ๆ จะทำให้ชีวิตคู่ลงตัวมากขึ้นด้วยค่ะ 1. Slow down ถามตัวเองก่อน… ข้อแรกนี้สำคัญ เป็นข้อเปิดหัวเลยก็ว่าได้ นั่นคือก่อนที่เราจะไปนอยด์ใส่ว่าเขาเป็นแฟนบ้างานนั้น ก่อนอื่น ถามตัวเองก่อนว่าแฟนบ้างานแล้วความรักยังดีอยู่ไหม ? เราต้องการมากเกินพอดีหรือไม่ ? เพราะสำหรับบางคู่ จริง ๆ การไปนอยด์ใส่กันมันกระทบต่อความสัมพันธ์ ในบางกรณีแม้ว่าแฟนจะเป็นพวกบ้างาน แต่ก็ยังหาเวลามาดูแลเอาใจใส่กันได้เป็นอย่างดีหรือในระดับที่พอดี หรือเขาเป็นแฟนในแบบที่เห็นงานสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนทุกเรื่องเสมอ คุณต้องทบทวนให้ดีก่อนตัดสินใจ 2. Say that ! ไม่พูดก็ไม่เข้าใจกัน ถ้าทบทวนข้อแรกดีแล้ว… นี่คือขั้นตอนต่อมา ก่อนอื่นเราอยากให้คุณเชื่อเถอะว่าคนบ้างานส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ตัวว่ากำลังบ้างานอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าใครกำลังเดือดแฟน ขอให้ลดระดับลงมาครึ่งนึงก่อนที่จะทำตามวิธีในขั้นตอนนี้ เพราะเราจะแนะนำให้คุณพูดมันออกมาค่ะ ! ถ้าเรามัวแต่ดราม่า น้อยใจเก็บไว้คนเดียวโดยไม่พูดออกมา แฟนบ้างานก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกเชื่อได้เลย ซึ่งจะดีกว่าไหมถ้าเราต้องการเวลาจากเขาหรืออยากให้เขาปรับอะไรบ้าง เราก็แค่ต้องใจเย็น ตั้งสติ ท่องไว้ว่าต้องใช้เหตุและผลเสมอ จากนั้นค่อย ๆ พูดความต้องการของเราออกมา คุณต้องรวบรวมสมาธิให้ดี และระมัดระวังให้ไม่นำอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จากนั้นอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเรื่องนี้กำลังเป็นปัญหากับชีวิตคู่ของเรา และคุณต้องการอะไรจากเขา พูดคุยกันบนพื้นฐานของคนที่ต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรัก แม้ท้ายที่สุด อาจจะมีทะเลาะกัน แต่ยังดีกว่าปล่อยเงียบให้เป็นปัญหากัดกินใจของเราต่อไป ผู้เสพติดงานนั้นมักจะไม่เห็นว่าพฤติกรรมของตัวเองเป็นปัญหา เพราะเมื่อพวกเขาทำงานปริมาณมาก พวกเขาก็มักจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น รวมถึงการเลื่อนตำแหน่งศ.เชาเฟลี. https://www.bbc.com/thai/international-43651278 3. Reasonable เข้าใจเหตุผลของชาว Workaholic เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้แฟนบ้างานได้ก็คือ “ความมั่นคงทางการเงิน” นั่นหมายถึงเขาอยากทำงานเก็บเงินเพื่อมีอนาคตที่ดีกับเรา ในขณะที่เราต้องการ “ความมั่นคงทางความสัมพันธ์” ซึ่งถ้าต่างคนต่างเข้าใจความคิดของกันและกันแล้วยอมรับในตัวตนของเขาแบบนี้ให้ได้ โดยที่เขาก็ดูแลเราดีไม่ขาดตกบกพร่อง นับว่าโชคดีมาก ๆ ที่เจอคนพยายามทำทุกอย่างเพื่อชีวิตคู่ แต่ก็คอยเตือนว่าเป็นห่วงสุขภาพเหมือนกันนะ 4. Time Boxing ทำข้อตกลงเรื่องเวลา มาถึงขั้นตอนนี้นั่นหมายถึงคุณประสบความสำเร็จไปขั้นนึงแล้วสำหรับการเปิดใจพูดคุยกัน จากนั้นนอกจากคุยกันจนเข้าใจดีแล้ว ตัวเรากับแฟนบ้างานต้องแบ่งเวลาให้ชัดเจนด้วยว่าเวลาไหนทำงาน ช่วงเวลาไหนให้กับครอบครัว ทำข้อตกลงจัดตารางเวลาให้ชัดเจนเลยถึงช่วงเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันบ้าง…
พรุ่งนี้ที่ดีกว่า… รู้จัก Satir Model บำบัดจิต เพื่อเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง
หลายครั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกมา เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่พอใจที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา แต่ทุกอย่างสามารถแก้ได้ เพียงแค่เรา “เข้าใจตัวเอง” ให้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเข้าใจได้นั้น ก็ต้องมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับเสียหน่อย เพื่อการพัฒนาที่ดีและตรงจุด เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Satir Model แนวคิดทางด้านจิตวิทยาเพื่อ บำบัดจิต ที่วงการจิตแพทย์ทั่วโลกต่างก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มต้นเข้าใจตัวเอง ด้วย ซาเทียร์โมเดล บำบัดจิต ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับแนวคิดของ Satir Model กันก่อน โดยแนวคิดนี้คิดโดย เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ แพทย์บำบัดครอบครัว ที่ได้นำเรื่องของจิตใจมนุษย์มาเปรียบเทียบเป็นภูเขาน้ำแข็ง ที่ปกติจะมียอดน้ำแข็งโผล่พ้นน้ำ ในขณะที่ภูเขาน้ำแข็งส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ก้นบึ้งของมหาสมุทร โดยสามารถแบ่งชั้น ๆ ได้ดังนี้ 1. พฤติกรรมที่แสดงออกมา (Behavior) สิ่งที่เห็นได้ชัดหรือเห็นได้ด้วยตาเปล่า นั่นก็คือพฤติกรรมที่สามารถแสดงออกได้ผ่านทางคำพูด น้ำเสียง อากัปกริยา หรือการแสดงออกต่าง ๆ ที่อาจตอบสนองกับตัวเอง หรือต้องการจะสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับความรู้สึก ตัวอย่างเช่น ลูกกลับบ้านช้า ไม่เป็นไปตามที่ตกลง พ่อแม่เลยตีลูก ซาเทียร์จัดให้ส่วนนี้เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งที่พ้นน้ำ 2. ความรู้สึก (Feelings) ความรู้สึก นับว่าเป็นสิ่งที่เรารู้สึกอยู่ภายในและเลือกที่จะแสดงออกมาให้เห็น เช่น ดีใจ เสียใจ เศร้า หดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้ เหนื่อย กลัว และอื่น ๆ ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นความรู้สึก ตัวอย่างเช่น พ่อแม่โกรธลูกที่กลับบ้านช้าสุด ๆ แต่ความรู้สึกของมนุษย์ ไม่ได้มีเพียงแค่ “ความรู้สึก” ที่แสดงออกมาเท่านั้น เพราะความรู้สึกของมนุษย์มีความซับซ้อนขึ้นไปอีกว่า ความรู้สึกที่ได้เกิดขึ้น แท้จริงแล้วในใจลึก ๆ เรารู้สึกอย่างไร จากตัวอย่างเดิม พ่อแม่กลับรู้สึกผิดที่โกรธลูก เพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โดยตั้งแต่ชั้นนี้เป็นต้นไปจะเป็นส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำทั้งหมด 3. การรับรู้ (Perceptions) การรับรู้หรือก็คือความคิดต่าง ๆ ที่เรามีต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ได้เกิดขึ้น โดยการรับรู้เหล่านี้อาจเป็นจริง อาจไม่เป็นจริง หรือมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น การที่ลูกมาช้าคือไม่เชื่อฟัง,…
หัวใจหลักของ Marketing 4.0 คือ การบูรณาการเครื่องมือทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่เกิดจากดิจิตัลเทคโนโลยีต่าง ๆ ผสมผสานเข้ากับ กลยุทธ์การตลาด จนเกิดเป็น Big Data, Marketing Automation, O2O (Online to Offline) ฯลฯ นั่นเอง ซึ่งแม้ว่าแค่ประโยคแรกของบทความจะเป็นคีย์ไฮไลต์ของคำตอบแล้วก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าคุณยังต้องการที่จะรู้จักเจ้ารุ่นล่าสุด 4.0 นี้อยู่ดี เพราะการก้าวเข้าสู่ยุค Marketing 4.0 ได้เกิดกลยุทธ์ใหม่ที่มัดใจลูกค้าได้ดีกว่ารุ่นเก่า ๆ นั่นก็คือ กลยุทธ์ 5A เป็นกลยุทธ์ที่ ฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์ด้านการตลาด และหนังสือ “Marketing 4.0” ได้กล่าวไว้ กลยุทธ์สุดปังนี้จะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง รอติดตามกันต่อจากนี้ได้เลย !… จะรู้จัก “รุ่นล่าสุด” ให้ดี ต้องเข้าใจ “รุ่นบุกเบิก” กันก่อน การจะเข้าถึงแก่นของ Marketing 4.0 อันดับแรกต้องทำความรู้จักเกี่ยวกับ “กลยุทธ์การตลาด” ในแต่ละยุคที่ผ่านมากันก่อน โดยเริ่มจาก “รุ่นบุกเบิก” เมื่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของดิจิตัลเทคโนโลยี ทำให้โมเดล AIDA ไม่ตอบโจทย์กลยุทธ์การตลาดในยุคใหม่เสียแล้ว จึงทำให้การตลาด “รุ่นล่าสุด” 4.0 ถือกำเนิดขึ้น ! AIDA ก็เอ้าต์ไปเสียแล้ว แล้วจะมีโมเดลหรือกลยุทธ์ใหม่ ๆ ไหนล่ะ ?! ที่จะมาตอบโจทย์กลยุทธ์การตลาดแบบ 4.0 นี้… Marketing 4.0 feat. กลยุทธ์สุดปัง 5A ช่วยมัดใจลูกค้า ดังที่ได้กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นว่า Marketing 4.0 ก็คือการผสมผสานของเครื่องมือทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ จนก่อกำเนิดเป็น Big Data, Marketing Automation, AI/Chatbot, O2O, Online Shopping เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงก่อเกิดกลยุทธ์สุดปัง 5A ที่ช่วยมัดใจลูกค้าได้ดีกว่าเดิม…
อ่านหัวข้อแล้ว ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า เราไม่ได้จะบอกว่าการหาลูกค้าใหม่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นหรือกลยุทธ์การลดราคาเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ แต่อยากให้ลองคิดว่า หากลูกค้าที่ได้มามีแต่ลูกค้าครั้งเดียว (one-time customer) คุณก็คงต้องลดราคาอยู่เรื่อยไป จนกระทั้งนั่นกลายเป็น “ราคาปกติ” ของร้าน ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีกับการจัดการ ลูกค้าสัมพันธ์ และเชื่อไหมว่า ? ทันทีที่มีร้านอื่นขายถูกกว่า ลูกค้าก็พร้อมที่จะไปจากคุณทันที ! ซึ่งในกรณีนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวลูกค้า แต่อยู่ที่ร้านไหนเลือกใช้กลยุทธ์ดึงดูด “ลูกค้าที่เน้นเรื่องราคา” เข้ามา ให้ความสนใจกับลูกค้าที่มีแนมโน้วจะเป็น “ลูกค้าประจำ” ถ้าคุณมั่นใจในสินค้าหรือบริการของคุณ การลดราคาเพื่อเรียกลูกค้าก็ไม่จำเป็น แต่ควรหันมามอง “คุณค่า” ของธุรกิจเราให้มากขึ้น และถ่ายทอด “คุณค่า” ให้คนที่ยังไม่รู้จักมันให้เขาได้รับรู้ ! เพราะเวลาเลือกสินค้าหรือบริการ ลูกค้าไม่ได้เลือกจากปัจจัยด้านราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องความต้องการ รสนิยม ความชอบส่วนตัว ที่รวมแล้วเรียกว่า “คุณค่า” ควบคู่ไปด้วย เช่น “อยากได้กระติกน้ำที่สวย สีสุภาพ เหมาะกับใช้ที่ทำงาน และเก็บความเย็นได้นาน” หรือ “อยากกินอาหารในร้านที่มีมุมส่วนตัวและบรรยากาศดี ๆ” แต่รู้ไหมว่าร้านค้าส่วนใหญ่กลับใช้แค่ “ราคา” เป็นจุดขาย ดังนั้นลูกค้าที่เข้ามาจึงไม่ใช่กลุ่มที่มีคุณค่าตรงกับที่ธุรกิจนำเสนอ และก็นั่นแหละ ไม่แปลกอะไรที่เขาเหล่านั้นจะเป็นเพียงลูกค้าที่เข้ามาซื้อเพียงแค่ครั้งเดียว… มาแล้วจากไป อย่างไรก็ตาม โลกนี้ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ “จำเป็นต้องมีคุณ” อยู่ด้วย และลูกค้ากลุ่มนี้สนใจราคาเป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ คือ “คุณค่า” ขอแค่เขาหาร้านคุณเจอ การจะถูกใจจนกลายเป็นลูกค้าประจำก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วเราจะทำอย่างไรละ ? ในการนำเสนอคุณค่าของธุรกิจ เพื่อเรียกลูกค้าที่มีแนมโน้วที่จะกลายเป็น “ลูกค้าประจำ” ตามไปอ่านกันต่อเลย ! สถิติที่น่าทึ่ง การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ ต้องวิเคราะห์ข้อมูลสถิติย้อนหลังเพื่อเปรียบเทียบดูแนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจประเภทที่ลูกค้าไม่ได้กลับมาใช้ซ้ำบ่อย ๆ เพราะไม่มีเหตุจำเป็น เช่น ร้านตัดผม ร้านซ่อมรองเท้า จะต้องขยายช่วงให้มากขึ้นเป็น 6 หรือ 9 เดือน ตามเหมาะสม จากนั้นแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ โดย กลุ่มแรก กลุ่ม A คือลูกค้าที่นับตั้งแต่เข้ามาที่ร้านเป็นครั้งแรก และก็ไม่เคยมาอีกเลยตลอดช่วง…
Life insurance has several benefits, but it’s not right for everyone. เราทุกคนต่างรู้ดีว่า ประกันชีวิต เป็นต้นทุนคงที่ที่กินสัดส่วนค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวค่อนข้างมาก เผลอ ๆ เป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่รองลงมาจากการซื้อบ้าน ที่ดิน เลยก็ว่าได้ ยกตัวอย่าง หากเราจ่ายค่าเบี้ยประกันประมาณปีละ 3 หมื่นบาท หากจ่ายติดต่อกัน 30 ปี รวมเท่ากับ 9 แสนบาท ถ้าบางเเพคเกจปีละ 4 หมื่นบาทบวก ๆ จ่ายตลอด 30 ปี ยอดรวมก็ทะลุล้านไปแล้ว ประกันบางแห่งชอบทำแผนค่าใช้จ่ายมาให้เห็นภาพว่ามีจำนวนเล็กน้อยเมื่อเฉลี่ยเป็นรายเดือน แต่หากรวมเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมดกลับพอกพูดในชั่วพริบตา ซื้อเพื่อเก็บออม ไม่ใช่ซื้อไว้ก่อน มีคนจำนวนมากไม่รู้ว่าหากลงทะเบียนในระบบเงินบำนาญแห่งชาติหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินบำนาญพื้นฐานหรือเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบางคนก็ไม่ทราบว่าประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาพยาบาลขั้นสูงซึ่งมีราคาแพงเกือบทั้งหมด สิ่งสำคัญประการแรกคือ ต้องขยันรวบรวมข้อมูล นอกจากนี้ให้คิดพิจารณาว่า “จำนวนเงินเอาประกันภัยที่จำเป็นจริง ๆ คือเท่าไหร่” “ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยเท่าไหร่และเมื่อใด” เพราะหลักการของเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงคิดว่า “แค่ประกัน ซื้อไปแล้วกัน” แต่ต้องคิดว่า “เก็บเงินก่อนแล้วค่อยซื้อประกันเสริมในส่วนที่ครอบคลุมไม่หมด” คงจะดีกว่า… ประกันชีวิตอาจไม่ต่างจากการพนัน ทำไมกล่าวเช่นนั้น ! ประกันชีวิต เหมือนการพนันอย่างนั่นหรือ !? ประกันชีวิต คือการจ่ายเบี้ยประกันในจำนวนที่ต้องการในช่วงเวลาที่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับคุณ แล้วคนอื่นจะลำบาก คำถามคือแล้วช่วงเวลานั้น มันคือตอนไหน ? สำหรับคนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าคือช่วงที่ลูกยังเด็กทำให้คู่สมรสไม่สามารถหาเวลาไปทำงานหาเงินได้มากนัก หรือกินเวลาประมาณ 20 ปี จนกว่าบุตรของคุณจะบรรลุนิติภาวะ ยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หากคุณเป็นคนโสดก็แทบจะไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิต เพราะไม่มีคนข้างหลังคุณที่จะต้องเดือดร้อนหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือนอกจากนี้ในกรณีที่คู่สมรสก็ทำงาน คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิตถึงขนาดนั้นเช่นกัน จากสถิติพบว่าเพศชายวัย 30 ปี จะมีชีวิตอยู่ถึง 60 ปี คือ 91.5% ซึ่งหมายถึงหากมีผู้ชายอายุ 30 ปี 100 คน จะมี 91 คนที่ชีวิตอยู่จนถึงอายุ 60 ปี เมื่อคิดตามมุมมองทางสถิตินี้ ความน่าจะเป็นที่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงที่จำเป็นต้องทำประกันจริง…
Main Focus แอปแจ้งเตือนภัยพิบัติ ตัวท๊อป ๆ ในตลาดแอปมือถือ ที่ทั้งไทยและเทศนิยม มีอะไรบ้าง ?ฟีเจอร์หลัก ๆ และจุดเด่นของแต่ละแอปเพื่อให้คุณพิจารณาว่าอันไหนเหมาะกับตัวเองเตรียมพร้อมรับมือสำหรับคนที่ใช้ LINE ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปเพิ่ม ก็สามารถรับแจ้งเตือนภัยฯ ผ่าน LINE ได้ คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม