Author: athena_abradmin

อ่านหัวข้อแล้ว ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า เราไม่ได้จะบอกว่าการหาลูกค้าใหม่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นหรือกลยุทธ์การลดราคาเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ แต่อยากให้ลองคิดว่า หากลูกค้าที่ได้มามีแต่ลูกค้าครั้งเดียว (one-time customer) คุณก็คงต้องลดราคาอยู่เรื่อยไป จนกระทั้งนั่นกลายเป็น “ราคาปกติ” ของร้าน ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีกับการจัดการ ลูกค้าสัมพันธ์ และเชื่อไหมว่า ? ทันทีที่มีร้านอื่นขายถูกกว่า ลูกค้าก็พร้อมที่จะไปจากคุณทันที ! ซึ่งในกรณีนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวลูกค้า แต่อยู่ที่ร้านไหนเลือกใช้กลยุทธ์ดึงดูด “ลูกค้าที่เน้นเรื่องราคา” เข้ามา ให้ความสนใจกับลูกค้าที่มีแนมโน้วจะเป็น “ลูกค้าประจำ” ถ้าคุณมั่นใจในสินค้าหรือบริการของคุณ การลดราคาเพื่อเรียกลูกค้าก็ไม่จำเป็น แต่ควรหันมามอง “คุณค่า” ของธุรกิจเราให้มากขึ้น และถ่ายทอด “คุณค่า” ให้คนที่ยังไม่รู้จักมันให้เขาได้รับรู้ ! เพราะเวลาเลือกสินค้าหรือบริการ ลูกค้าไม่ได้เลือกจากปัจจัยด้านราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องความต้องการ รสนิยม ความชอบส่วนตัว ที่รวมแล้วเรียกว่า “คุณค่า” ควบคู่ไปด้วย เช่น “อยากได้กระติกน้ำที่สวย สีสุภาพ เหมาะกับใช้ที่ทำงาน และเก็บความเย็นได้นาน” หรือ “อยากกินอาหารในร้านที่มีมุมส่วนตัวและบรรยากาศดี ๆ” แต่รู้ไหมว่าร้านค้าส่วนใหญ่กลับใช้แค่ “ราคา” เป็นจุดขาย ดังนั้นลูกค้าที่เข้ามาจึงไม่ใช่กลุ่มที่มีคุณค่าตรงกับที่ธุรกิจนำเสนอ และก็นั่นแหละ ไม่แปลกอะไรที่เขาเหล่านั้นจะเป็นเพียงลูกค้าที่เข้ามาซื้อเพียงแค่ครั้งเดียว… มาแล้วจากไป อย่างไรก็ตาม โลกนี้ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ “จำเป็นต้องมีคุณ” อยู่ด้วย และลูกค้ากลุ่มนี้สนใจราคาเป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ คือ “คุณค่า” ขอแค่เขาหาร้านคุณเจอ การจะถูกใจจนกลายเป็นลูกค้าประจำก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วเราจะทำอย่างไรละ ? ในการนำเสนอคุณค่าของธุรกิจ เพื่อเรียกลูกค้าที่มีแนมโน้วที่จะกลายเป็น “ลูกค้าประจำ” ตามไปอ่านกันต่อเลย ! สถิติที่น่าทึ่ง การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ ต้องวิเคราะห์ข้อมูลสถิติย้อนหลังเพื่อเปรียบเทียบดูแนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจประเภทที่ลูกค้าไม่ได้กลับมาใช้ซ้ำบ่อย ๆ เพราะไม่มีเหตุจำเป็น เช่น ร้านตัดผม ร้านซ่อมรองเท้า จะต้องขยายช่วงให้มากขึ้นเป็น 6 หรือ 9 เดือน ตามเหมาะสม จากนั้นแบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ โดย กลุ่มแรก กลุ่ม A คือลูกค้าที่นับตั้งแต่เข้ามาที่ร้านเป็นครั้งแรก และก็ไม่เคยมาอีกเลยตลอดช่วง…

Read More

Life insurance has several benefits, but it’s not right for everyone. เราทุกคนต่างรู้ดีว่า ประกันชีวิต เป็นต้นทุนคงที่ที่กินสัดส่วนค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวค่อนข้างมาก เผลอ ๆ เป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่รองลงมาจากการซื้อบ้าน ที่ดิน เลยก็ว่าได้ ยกตัวอย่าง หากเราจ่ายค่าเบี้ยประกันประมาณปีละ 3 หมื่นบาท หากจ่ายติดต่อกัน 30 ปี รวมเท่ากับ 9 แสนบาท ถ้าบางเเพคเกจปีละ 4 หมื่นบาทบวก ๆ จ่ายตลอด 30 ปี ยอดรวมก็ทะลุล้านไปแล้ว ประกันบางแห่งชอบทำแผนค่าใช้จ่ายมาให้เห็นภาพว่ามีจำนวนเล็กน้อยเมื่อเฉลี่ยเป็นรายเดือน แต่หากรวมเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมดกลับพอกพูดในชั่วพริบตา ซื้อเพื่อเก็บออม ไม่ใช่ซื้อไว้ก่อน มีคนจำนวนมากไม่รู้ว่าหากลงทะเบียนในระบบเงินบำนาญแห่งชาติหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินบำนาญพื้นฐานหรือเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบางคนก็ไม่ทราบว่าประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาพยาบาลขั้นสูงซึ่งมีราคาแพงเกือบทั้งหมด สิ่งสำคัญประการแรกคือ ต้องขยันรวบรวมข้อมูล นอกจากนี้ให้คิดพิจารณาว่า “จำนวนเงินเอาประกันภัยที่จำเป็นจริง ๆ คือเท่าไหร่” “ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยเท่าไหร่และเมื่อใด” เพราะหลักการของเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงคิดว่า “แค่ประกัน ซื้อไปแล้วกัน” แต่ต้องคิดว่า “เก็บเงินก่อนแล้วค่อยซื้อประกันเสริมในส่วนที่ครอบคลุมไม่หมด” คงจะดีกว่า… ประกันชีวิตอาจไม่ต่างจากการพนัน ทำไมกล่าวเช่นนั้น ! ประกันชีวิต เหมือนการพนันอย่างนั่นหรือ !? ประกันชีวิต คือการจ่ายเบี้ยประกันในจำนวนที่ต้องการในช่วงเวลาที่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับคุณ แล้วคนอื่นจะลำบาก คำถามคือแล้วช่วงเวลานั้น มันคือตอนไหน ? สำหรับคนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าคือช่วงที่ลูกยังเด็กทำให้คู่สมรสไม่สามารถหาเวลาไปทำงานหาเงินได้มากนัก หรือกินเวลาประมาณ 20 ปี จนกว่าบุตรของคุณจะบรรลุนิติภาวะ ยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หากคุณเป็นคนโสดก็แทบจะไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิต เพราะไม่มีคนข้างหลังคุณที่จะต้องเดือดร้อนหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือนอกจากนี้ในกรณีที่คู่สมรสก็ทำงาน คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิตถึงขนาดนั้นเช่นกัน จากสถิติพบว่าเพศชายวัย 30 ปี จะมีชีวิตอยู่ถึง 60 ปี คือ 91.5% ซึ่งหมายถึงหากมีผู้ชายอายุ 30 ปี 100 คน จะมี 91 คนที่ชีวิตอยู่จนถึงอายุ 60 ปี เมื่อคิดตามมุมมองทางสถิตินี้ ความน่าจะเป็นที่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงที่จำเป็นต้องทำประกันจริง…

Read More

Main Focus แอปแจ้งเตือนภัยพิบัติ ตัวท๊อป ๆ ในตลาดแอปมือถือ ที่ทั้งไทยและเทศนิยม มีอะไรบ้าง ?ฟีเจอร์หลัก ๆ และจุดเด่นของแต่ละแอปเพื่อให้คุณพิจารณาว่าอันไหนเหมาะกับตัวเองเตรียมพร้อมรับมือสำหรับคนที่ใช้ LINE ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปเพิ่ม ก็สามารถรับแจ้งเตือนภัยฯ ผ่าน LINE ได้ คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม

Read More

ธุรกิจเริ่มปัง จะ จดทะเบียนบริษัท แบบไหนดี ? ทุกคน ทุกคนรู้มั๊ยว่าทุกวันนี้การเริ่มทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องยากเหมือนในอดีต เพราะเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นแล้วจะสำเร็จทุกรายหรอกนะ ดังนั้นก่อนเริ่มทำธุรกิจ หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เราอยากให้ทุกคนลองถามตัวเอง คือ เราควรจดทะเบียนในรูปแบบของ ธุรกิจส่วนตัว ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทเต็มรูปแบบ ? สำคัญยังไง ? ทำไมต้องรู้จักการ จดทะเบียนบริษัท แต่ละแบบ นั่นเพราะความไม่เข้าใจในการจดทะเบียนบริษัทรูปแบบต่าง ๆ ของธุรกิจ ไม่รู้ข้อดีข้อเสีย บางคนเลยรีบร้อนตั้งเป็นรูปแบบบริษัทจำกัดขึ้นมา หรืออาจจะคิดว่ารูปแบบบริษัทดี น่าเชื่อถือกว่ารูปแบบอื่น ๆ ซึ่งก็จริงน่ะแหละ ถ้าจะ Go Big แล้วละก็ รูปแบบบริษัทนั้นค้าขายเจรจาคล่องกว่าแบบอื่น ๆ แต่…ทุกคนรู้ไหมว่า จริง ๆ แล้วการตั้งบริษัทจำกัดอาจจะไม่เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดหรือเหมาะกับธุรกิจทุกรูปแบบเสมอไปหรอกนะ การใจร้อนรีบตั้งบริษัท เผลอ ๆ อาจจะเป็นตัวถ่วงให้กับธุรกิจของเราก็ได้ และอาจจะทำให้เราขาดทุนก็ได้ด้วยเหมือนกัน เราจึงอยากให้ทุกคนพิจารณาให้ครบทุกรูปแบบเสียก่อน เพราะเมื่อลองพิจารณาแล้ว อาจจะพบว่ารูปแบบบริษัทดีสำหรับบริษัทหนึ่ง และอาจจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านธุรการและนิติกรเท่านั้นเมื่อเทียบกับอีกบริษัทหนึ่ง เลือก จดทะเบียนบริษัท ให้เหมาะ ! ลองพิจารณาจากรูปแบบธุรกิจ ธุรกิจส่วนตัว รูปแบบนี้คีย์เวิร์ดสำคัญคือการเป็นเจ้าของธุรกิจ “เพียงคนเดียว” ทำให้เรามีเสรีภาพเต็มที่ในการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจของเรา บริหารคนเดียว ตัดสินใจคนเดียว ทำการตลาดคนเดียว One-Man Show ธุรกิจส่วนตัวเป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุด จัดตั้งก็ง่าย บริหารก็ง่าย ระเบียบราชการไม่ยุ่งยาก ขอจดทะเบียนก็ไม่ยากเย็นอะไร ภาษีอากรก็เป็นประเภทภาษีรายได้ส่วนบุคคล ซึ่งจะเสียมากเสียน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับรายได้ของธุรกิจ และฐานะการเงินของเรา แต่แนะนำทุกคนว่า เนื่องจากเราดำเนินการเพียงคนเดียว ดังนั้นควรตรวจสอบเรื่องภาษีและปรึกษานักบัญชีดูก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจส่วนตัว ส่วนข้อเสียที่เห็นได้ชัดเลยคือ หนี้สินของธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นหนี้สินของตัวบุคคล/เจ้าของธุรกิจด้วย ซึ่งหมายความว่าถึงว่าหากธุรกิจขาดทุน-เป็นหนี้ เราผู้เป็นเจ้าของต้องเอาเงินส่วนตัวหรือทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาใช้หนี้ของธุรกิจ หรือที่เรียกว่า “เข้าเนื้อ” นั่นเอง ! ห้างหุ้นส่วนสามัญ รูปแบบห้างหุ้นส่วนสามัญต้องรวมเอาความคิดและประสบการณ์ของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปมาช่วยกัน การรวบรวมพลังและปัญญาของหลายคนเข้าด้วยกันจะสามารถทำให้ธุรกิจเข้มแข็งได้ คนนึงเก่งบริหาร คนนึงเก่งเทคนิค คนนึงเก่งการตลาด ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าการทำธุรกิจส่วนตัวเพียงคนเดียว แต่รูปแบบนี้ก็มีความคล้ายกับธุรกิจส่วนตัวอยู่บ้าง คือจัดตั้งง่าย จดทะเบียนง่าย และการเสียภาษี ก็เป็นภาษีส่วนบุคคลที่หุ้นส่วนแต่ละคนต้องเสียเอง การเข้าหุ้นกัน ก็ไม่จำเป็นต้องมีสัญญา แต่ขอแนะนำว่า ควรมีในสัญญาเรื่องของการชี้แจงหน้าที่ของหุ้นส่วนแต่ละคน…

Read More

ถ้าเราบอกเคล็ดลับว่า เพียงแค่เพื่อน ๆ รู้วิธีการ หายใจ อย่างถูกวิธี ก็จะพบว่าตัวเองมีสุขภาพดีขึ้น และมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว…เพื่อน ๆ จะเชื่อหรือไม่ ? การหายใจของมนุษย์เป็น “ศิลปะ” การหายใจที่สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง และมันเป็นศิลปะเชิงวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง เพราะมันเป็นมากกว่าการหายใจเอาอากาศเข้าและหายใจเอาอากาศออก การหายใจไม่ใช่แค่สูดออกซิเจนเข้าปอด จูนความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของมนุษย์ประกอบขึ้นจากเซลล์นับพันล้านที่เกิดจากการหายใจเป็นพื้นฐาน การหายใจเป็นจุดกำเนิดลูกโซ่ของชีวกายภาพทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งดำรงค์อยู่ได้เพราะหายใจและสูญสลายไปเมื่อหยุดหายใจ ออกซิเจนที่ได้เพิ่มมากขึ้นในกระแสเลือดของเรากระตุ้นระบบขับถ่าย อันเป็นการชำระล้างพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายออกไป ออกซิเจนที่เพิ่มพิเศษขึ้นมาในสมอง ให้พลังงานเพิ่มเติมและความมีชีวิตชีวาแก่เรา ทั้งการหายใจในระหว่างการทำสมาธิลึก ๆ ก็เป็นเครื่องเตือนใจต่อร่างกายของเราว่า ทั้งหมดอยู่ในความควบคุม การหายใจจึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สุขภาพของเราดีเสมอมา แบบที่เพื่อน ๆ บางคนอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพอเรามีอายุมากขึ้น การหายใจกลายเป็นวิทยาศาสตร์น้อยลงเรื่อย ๆ และกลายเป็นการหายใจตื้น ๆ และเราก็เริ่มหายใจเข้าไปในปอด แทนที่จะให้ลึกถึงท้อง ผู้ใหญ่อย่างเรา หายใจ ผิดวิธีมาตลอด เอ๊ะ ! หายใจก็คือหายใจเข้าและหายใจออก แค่นั่นนี่ !? มีถูกหรือผิดด้วยหรอ ? เราเชื่อว่าเพื่อน ๆ ไม่เคยรู้มาก่อนแน่ ๆ เราจึงอยากให้เพื่อน ๆ ลองสังเกตการหายใจของเด็กทารก เข้า ออก ลึก และแม้กระทั้ง ช้า ง่าย และสงบ หากใครมีลูกมีหลานลองสังเกตให้ใกล้ชิดมากขึ้น จะเห็นเลยว่าหน้าอกไม่ได้ยกสูงขึ้นและต่ำลง แต่เป็น “ท้อง” ที่ยุบ ๆ พอง ๆ มาถึงตรงนี้บางคนคงร้องอ๋อ เพราะนั่นคือกระบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อระหว่างทรวงอกและช่องท้อง ที่เป็นตัวเคลื่อนไหว คราวนี้เราลองมาเปรียบเทียบกับวิธีการหายใจของพวกผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ กันบ้าง ซึ่งสิ่งที่พบก็คือ มันแตกต่างออกไปจากเด็กทารกอย่างแน่นอน เพราะพวกเราส่วนใหญ่ หน้าอกช่วงบนจะขยายออกขณะหายใจเข้า แล้วก็บีบรัดขณะหายใจออก และเมื่ออายุมากขึ้น เรามักจะได้เรียนรู้ที่จะเก็บพุงให้เล็กลงโดยไม่รู้ตัว ปัญหาคือสิ่งนี้ได้กลายเป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่ เวลาผ่านไป ชีวิตที่อยู่ในเมืองแออัด มีปัญหามลภาวะเรื้อรังและขาดอากาศบริสุทธิ์ ก็เลยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยตั้งแต่เด็กจนโต จากการหายใจเข้ากระบังลม หรือการหายใจเข้าท้อง ไปสู่การหายใจเข้าปอดแทน การเลื่อนตำแหน่งของการหายใจรูปแบบนี้ ไม่ใช่ลักษณะทางธรรมชาติของผู้ที่สูงอายุขึ้น สิ่งนี้ถือเป็นนิสัยผิด ๆ แต่ถ้าเพื่อน ๆ พยายามทำลายนิสัยนี้…

Read More

เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขบอกไว้ว่าประชากรในบ้านเรา กลุ่มคนไทยวัยสร้างตัวที่เฉลี่ยอายุ 34 ถึง 35 ปีขึ้นไป ประสบปัญหาโรคเมตาบอลิกซินโดรมมากขึ้นทุกปี ๆ หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า “อ้วนลงพุง” ฟังดูเผิน ๆ อาจคิดว่า อ้วนลงพุง ก็แค่พุงใหญ่ขึ้น ร่างกายเปลี่ยนไปแค่นั้นหรือเปล่า ? คำตอบคือ เปล่าเลย ! และไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ การอ้วนลงพุงเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคเบาหวาน แถมโปรโมชั่นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก ซื้อหนึ่งแถมสอง ไม่ได้ขู่ เราเป็นห่วงทุกคน ถ้าไม่ดูแลสุขภาพและป้องกันโรคอ้วนลงพุงเสียแต่ตอนนี้ อาจบานปลายในอนาคต สังเกตตัวเองกันก่อน.. อ้วนลงพุง หรือยัง ?! โรคเมตาบอลิกซินโดรมหรืออ้วนลงพุง จะมีอาการร่วมกัน 3 จาก 5 ในรายการดังต่อไปนี้ อ้วนเกิน สังเกตได้ในผู้ชายที่มีขนาดรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว และ 32 นิ้วสำหรับหญิงความดันโลหิตสูง ภาวะปกติต้องวัดได้สูงกว่า 130/85 mm Hg หรือกินยาลดความดันฯ อยู่น้ำตาลในเลือดสูง วัดได้ตั้งแต่ 100-110 mg/dl ขึ้นไป ซึ่งส่อได้ว่าเป็นภาวะต้านอินซูลินไตรกลีเซอไรด์สูง ตั้งแต่ 150 mg/dl ขึ้นไปโคเลสเตอรอลดี เอชดีแอลต่ำ น้อยกว่า 40 mg/dl ในผู้ชาย และ ผู้หญิงอยู่ที่ 50 mg/dl ข้อ (1) สำคัญมาก และขอเน้นย้ำให้เพื่อน ๆ ทดสอบข้อนี้เป็นอย่างแรก และต้องวัดที่ “รอบเอว” ไม่ใช่สะโพก เหตุผลที่ข้อนี้สำคัญเพราะใครที่ตกอยู่ในกลุ่มข้อแรกนี้ จะถือว่าอยู่ในกลุ่มคนอ้วน และคนอ้วนมีแนวโน้มจะมีน้ำตาลในเลือด (ข้อ 3) ไตรกลีเซอไรด์ (ข้อ 4) และโคเลสเตอรอลสูง (ข้อ 5) หากเพื่อน ๆ อยู่ในกลุ่มวัยกลางคน วัยรุ่นสร้างตัวอายุเฉลี่ย 34 ถึง…

Read More

นี่ทุกคน…มีใครมีเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย บ้างไหม ? แบบว่าพอเห็นใครทำอะไรผิดระเบียบ ไม่มีวินัย ก็พร้อมบวกอยู่เสมอ อยากบอกว่า การทำงานเป็นทีม ของทุกบริษัทมีคนแบบนั้นอยู่เสมอแหละ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีหลักการของตนเอง มีระเบียบวินัยในการทำงานสูง และมักจะคาดหวังว่าสิ่งรอบตัวจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิดและทุกคนก็ควรทำตามสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอ แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ฝ่าฝืน ผิดร่องผิดลอย ไม่เคารพกติกา บทความนี้เราได้เรียบเรียงมาจากบทหนึ่งของหนังสือจิตวิทยาว่าด้วยเรื่อง “จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน” ของ ดร. อนุสร จันทรพันธ์, ดร. บุญชัย โกศลธนากุล นำมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้กับชีวิตในที่ทำงาน อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ตัดสินหรือสรุปว่าเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย ดีหรือแย่ แต่เราจะพยายามช่วยทุกคนแยกแยะให้ออกว่าเพื่อนร่วมงานคนไหนคือขาวีน ตลอดจนสังเกตตัวเองว่าเราเองหรือเปล่านะที่เป็นขาวีนเช่นกัน และสุดท้ายงัดอาวุธสุดปังเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านั้นซะ ! คนไหนเป็นขาวีน สังเกตอย่างไร อย่างแรกสังเกตวิธีการพูด เพื่อนร่วมงานที่ขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นคนตรงไปตรงมา พูดเร็วมีพลัง เสียงดังน่าเกรงขาม ฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูนัก พูดจาไม่ฟุ้งซ่าน ตัดบทเก่ง และที่สังเกตได้ชัดเจนคือมักเป็นคนที่ชอบชี้ถูกชี้ผิด เพราะเป็นการย้ำจริตในตัวเองว่าเป็นคนยึดมั่นในหลักการ ยึดเกณฑ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ถัดมา หากสังเกตด้วยวิธีแรกไม่ได้ เพราะอาจจะเพิ่งร่วมงานกันไม่นาน ให้ทุกคนสังเกตสิ่งที่อยู่ภายนอก เช่น การแต่งกาย บุคลิก แน่นอนว่าเขาเหล่านั้นแต่งกายเป็นระเบียบ ประณีต สะอาด เสื้อผ้าโทนคัลเลอร์ฟูลหรือไม่ก็คุมเข้มไปเลยก็มี ท่าทางการเดินคล่องแคล่วรวดเร็ว เพราะรู้เป้าหมายชัดเจน ดวงตาสว่างไสว เพราะสมาธิสูง ดูมีออร่า แต่โดยปกติเท่าที่สังเกตได้คือมักอยู่ตัวคนเดียวในที่ทำงาน ไม่ค่อยมีคนติดสอยห้อยตามมากนัก จุดแข็ง vs จุดอ่อน จุดแข็ง : การทำงานเป็นทีม กับคนขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นเพื่อนร่วมงานที่อุทิศทุ่มเทให้กับการงานสูง ทำงานได้เร็ว ไม่ค่อยผิดพลาด มักพบในนักบัญชี หรือส่วนงานควบคุมมาตรฐาน ควบคุมระเบียบปฏิบัติการขององค์กร หากเป็นนักวิเคราะห์ก็ทำได้ดี เพราะมองอะไรตามเหตุและผลทั้งกระบวนการ โดยรวมแล้วพึ่งพาได้ เพราะมีหลักการ ไม่มั่ว มีความจริงใจ พูดอะไรคำไหนคำนั้น ไม่แทงข้างหลัง หากด่าก็ด่าต่อหน้า ลั่นวาจากลางที่ประชุม ลักษณะดังกล่าวทำให้มีบารมีหรือเป็นที่เกรงกลัวของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว หากทำธุรกิจกับเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ก็ถือว่าผ่าน เพราะธุรกิจที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจและเชื่อถือได้ จุดอ่อน : โกรธได้ทั้งวัน มักมีมายด์เซ็ตที่ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ…

Read More

มีเป้าหมาย มีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีความฝัน แต่ยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อย ๆ ใครตั้ง เป้าหมาย ไว้เมื่อปีก่อน จนเวลาผ่านมาถึงท้ายปี และขึ้นปีใหม่แล้วก็ตาม แต่ยังไม่สำเร็จซักอย่าง ลองนำแนวคิดของเทคนิคการปลดปล่อยพลังเพื่อพิชิตเป้าหมายนี้ไปใช้ดู เมื่อเรารู้จุดมุ่งหมายในชีวิต กำหนดวิสัยทัศน์ และทำสิ่งที่เราต้องการและปรารถนาอย่างแท้จริงให้กระจ่างชัดขึ้นมาแล้ว จากนั้นเราต้องแปลงมันให้อยู่ในรูปของเป้าหมายและจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงและวัดผลได้ แล้วปฏิบัติไปตามนั้นด้วยความแน่ใจว่าเราจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้ สมองเป็นกลไกหนึ่งของการเสาะหาเป้าหมาย ไม่ว่าเราจะกำหนดเป้าหมายใดให้กับจิตใต้สำนึก สมองจะทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำเป้าหมายนั้นให้เป็นจริง เท่าไหร่และเมื่อไหร่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป้าหมายจะปลดปล่อยพลังของจิตใต้สำนึกออกมา มีเกณฑ์สองข้อด้วยกัน นั่นคือ เราจะต้องกำหนดเป้าหมายในแบบที่เราและคนอื่น ๆ สามารถวัดผลได้ เช่น การกำหนดเป้าหมายว่า ฉันจะลดน้ำหนักลง 5 กิโลกรัม แต่เดี๋ยวนะ อันนี้มันยังธรรมดาไป ! จะดีกว่าไหม ถ้า…ฉันจะลดน้ำหนักลง 5 กิโลกรัม ให้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ !!! ดังนั้นเกณฑ์สองข้อที่กล่าวไปข้างต้นนั้น หมายถึง “เท่าไหร่” และ “เมื่อไหร่” นั่นเอง Tip: ระบุเป้าหมายทุกด้านให้เฉพาะเจาะจงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น รุ่น สี ปีที่ผลิด ขนาด น้ำหนัก หรืออื่น ๆ จำไว้ว่า หากเป้าหมายคลุมเครือ ผลลัพธ์ก็จะคลุมเครือเช่นกัน เป้าหมาย เป็นมากกว่าแค่ ความต้องการ มีเหมือนกันที่ในบางครั้งเป้าหมายของเรา ไม่มีเกณฑ์วัดผล ซึ่งมันก็จะเป็นเพียงบางสิ่งที่เราปรารถนา หรือความต้องการ เช่น ฉันอยากเป็นเจ้าของบ้านที่มีสวนสวย ๆ หรือ ฉันอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาคนนั้น …อะไรแบบนี้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของเราได้ จำเป็นต้องมีเทคนิควิธีคิดเพื่อให้สามารถเกิดการวัดผลให้ได้ ตัวอย่างต่อไปนี้ จะแสดงให้เห็นภาพของการเปลี่ยนความต้องการเป็นเป้าหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ความต้องการเป้าหมายฉันอยากเป็นเจ้าของบ้านที่มีสวนสวย ๆฉันจะเป็นเจ้าของบ้าน 2 ชั้น ติดริมน้ำ ของโครงการ The Riverfront ภายในเดือนมีนาคมปีหน้าฉันอยากหุ่นดี กลับไปผอมเหมือนตอนเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆฉันจะลดน้ำหนักเหลือ 45 กิโลกรัม ภายในสองเดือน ก่อนไปงานแต่งงานของเพื่อนฉันอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเพื่อนพนักงานที่ช่วยทำงานแทนในวันที่ฉันลาพักร้อนวันจันทร์นี้ ฉันจะพูดขอบคุณ และซื้อไอซ์อเมริกาโน่ให้เพื่อนพนักงานหนึ่งแก้ว เขียนมันออกมา…

Read More