Author: athena_abradmin

ไม่มีใครทำอะไรแบบเดิม แล้วได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป การ “คิดบวก” หรือพยายามเปลี่ยนแปลงความคิดไปในเชิงบวก เป็นองค์ประกอบของการรักตัวเอง เพื่อให้คุณกลายเป็นคนที่ดีและมีความสุขกว่าเมื่อวาน หากในทุกวันนี้.. คุณเป็นคนนึงที่คิดอะไรติดขัด สมองไม่แล่น เจรจาไม่คืบหน้า ความสัมพันธ์ดำดิ่ง ไม่เป็นตามความคาดหวัง และสวนทางกับแรงพยายามที่ทุ่มเทลงไป ลองปรับเปลี่ยนมุมมองและความคิด คิดบวกให้มากขึ้น เปิดรับความรู้หลายแขนง ยอมรับการเปลี่ยนแปลง มันไม่ได้ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากที่จะลองรับข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณา และนี่เป็นข้อมูลสาระเพื่อเปิดมุมมองใหม่ ๆ นำมาแบ่งปันสำหรับคนที่อยากไปดาวอังคารโดยไม่ต้องรอขึ้นยานของ Space X เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองไปพร้อมกัน ที่บางส่วนเรียบเรียงมาทั้งหมด 10 อย่าง จากหนังสือ Good Vibes, Good Life ของ เว็กซ์ คิงส์ คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ได้ทั้งหมด ลองอ่านและเลือกทำจากสิ่งที่ง่ายที่สุดเป็นลำดับแรกก่อน ขอบคุณให้เก่ง เริ่มต้นด้วยการกระทำง่าย ๆ แต่มีอิมแพ็คสูง เพราะการรู้สึกขอบคุณนั้นทำได้ง่ายและทันที ไม่มีใครรู้สึกแย่ ในขณะที่รู้สึกขอบคุณ การรับรู้เรื่องดี ๆ ในแต่ละวันและรู้สึกขอบคุณกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตจะทำให้คุณเห็นแสงสว่าง และมองสิ่งรอบข้างในแง่ดีได้อย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะบ่นว่าอ้วน.. ลองนึกดูว่าบางคนยังไม่มีแม้อาหารให้กิน ก่อนจะบ่นเรื่องงาน.. บางคนอาจไม่มีแม้กระทั้งเงิน ก่อนจะบ่นเรืองทำความสะอาดบ้าน.. ตระหนักให้ดีว่าบางคนไม่มีแม้กระทั่งที่อยู่อาศัย อยู่กับคน “คิดบวก” วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าพลังงานถ่ายทอดกันได้ ดังนั้นการอยู่ท่ามกลางคนคิดบวกคือคีย์เวิร์ดสำคัญ เอาตัวเองไปอยู่รอบ ๆ คนที่รู้สึกดีกว่าคุณ ให้พลังบวกของพวกเขาซึมซับไปที่คุณ เวลารู้สึกไม่ค่อยดี พยายามอยู่ใกล้คนที่รู้สึกดีไว้ คนร่าเริง คนที่เราไว้ใจ คุณจะดูดซับพลังงานบางส่วนจากพวกเขาได้ ทำตัวคุณให้เหมือนสาหร่ายสีเขียวที่คอยดูดซับพลังงานจากพืชชนิดอื่น พวกเขาเหล่านั้น กลุ่มคนคิดบวกมักให้มุมมองเกี่ยวกับปัญหาของเราได้อย่างยอดเยี่ยม เนื่องจากเขามีอารมณ์เป็นบวก จึงมีแนวโน้มที่จะมีวิสัยทัศน์เชิงบวกต่อสิ่งที่เรากำลังเผชิญ โดยจะพยายามมองหาข้อดีของปัญหานั้น ๆ และให้เรายกระดับความรู้สึกหันไปจดจ่อกับสิ่งอื่นที่ช่วยยกระดับความรู้สึกมากกว่า ดังนั้นขอให้คุณสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและยั่งยืนกับคนคิดบวกไว้เสมอ เมื่อคุณใช้เวลากับคนที่เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตและทำให้อารมณ์ดีขึ้น คุณก็จะรับรูปแบบการคิดที่ให้กำลังใจมาที่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว และถ้าคุณสัมผัสอารมณ์เชิงบวกอยู่เรื่อย ๆ จากการอยู่กับคนคิดบวก.. คุณเคยได้ยินเรื่องกฎของแรงดึงดูด (Law of attraction) ใช่หรือไม่ ?.. นั่นแหละ คุณก็จะดึงดูดคนคิดบวกเข้ามาในชีวิตมากขึ้น และส่งเสริมให้รอบตัวเรามีแต่ความรู้สึกดี ๆ หากคนรอบข้างคุณก็ส่งต่อพลังบวกของเขาไปยังผู้อื่นต่อไปเช่นกัน แผ่ขยายไปไม่รู้จบ และใช่.. นั่นคือสังคมในอุดมคติ ที่สามารถเริ่มได้จากสังคมเล็ก…

Read More

ไม่ว่าจะวิกฤตการณ์ สงครามและการเมืองจะร้อนระอุเพียงใด แต่ที่อยู่เหนือกาลเวลาทั้งหมดทั้งปวงก็ไม่เป็นอื่นมากไปกว่าความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ หากผู้คนยังคงต้องบริโภคสิ่งต่าง ๆ เพื่อจะมีชีวิตต่อไป การตลาดก็เป็นสิ่งสากลกาลที่หลายธุรกิจต้องรับนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ และล่าสุด Forbes นิตยสารธุรกิจการเงินชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ Krista Neher ผู้นำด้าน Digital Marketing ระดับโลก ได้รวบรวมข้อมูลและคาดการณ์แนวโน้มของการตลาดที่จะเกิดขึ้นในปี 2023.. และวันนี้เราได้สรุปข้อมูลเหล่านั้นมาอย่างง่าย ๆ เพื่อให้คุณได้เตรียมพร้อมรับมือกับเทรนด์การตลาดปี 2023 ที่มีทั้งของใหม่มาแรงและของเก่าที่ยังเปรี้ยงปังอยู่ ดังต่อไปนี้ 7. Metaverse หนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุน Digital Marketing ที่กระแสมาแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022 จนปี 2023 แน่นอนว่าหนีไม่พ้น Metaverse เจ้าดิจิตัล เทคโนโลยีตัวนี้ช่วยเพิ่มประสบการณ์แห่งการดื่มด่ำและได้อรรถรสที่หลากหลายยิ่งขึ้น จนบางคนยังจินตนการการใช้งานไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างไร เพียงอาศัยเทคโนโลยีล้ำยุคอย่าง VR (Visual Reality) และ AR (Augmented Reality) ก็สามารถพาตัวเองล่องลอยไปยังร้านค้าแห่งใดก็ได้บนโลก ผ่านร่างตัวแทนที่เรียกว่า Avatar โดยในปัจจุบันแบรนด์ยักษ์ใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน เช่น Starbucks, Nike, Coca-Cola ต่างเริ่มหันเหให้ความสนใจเรื่องการทำการตลาดบน Metaverse ซึ่งนับว่าเป็นเทรนด์ใหม่ที่พลิกโฉมวงการตลาดไปตลอดกาล และแน่นอนว่า “รู้ก่อน ใช้ก่อน ย่อมได้เปรียบ” ธุรกิจของคุณอาจจะครองตลาดใหม่ ๆ ได้ในอนาคตหากรู้เรื่องการทำตลาดบน Metaverse 6. Artificial Intelligence ปัญญาประดิษฐ์ (AI – Artificial Intelligence) เป็นสิ่งกล้าฟันธงได้เลยว่า.. ต่อแต่นี้ทุกองค์กร “จำเป็น” ต้องมี เพราะด้วยอำนาจแห่งการคิดวิเคราะห์ที่ทรงพลังกว่ามนุษย์ จึงยังคงเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่ยังเป็นกระแสต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่เกินขอบเขตความคิดจินตนาการของมนุษย์เข้ามาแทนที่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีอะไรมาทดแทน ดังนั้น ณ วันนี้หลายธุรกิจควรต้องใส่ใจ เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้นำปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตเสียแล้ว แน่นอนล่ะว่าด้วยลักษณะของผู้บริโภคเช่นนี้ ย่อมเอื้อให้นักการตลาดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อใช้ในการวางแผนจัดทำแคมเปญต่าง ๆ และวัดผลลัพธ์ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบนพื้นที่สื่อโซเชียลมีเดีย ด้วยเหตุนี้เองที่ Martech หรือ Marketing Technology จึงเป็นเสมือน ‘ผู้ช่วย’ ยามยากที่ช่วยให้คุณสามารถทำการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าจำนวนมหาศาล…

Read More

ปรับ mindset เปลี่ยนความคิด เสริมแกร่งความสัมพันธ์ดี ๆ กับเพื่อนและครอบครัว คุณเป็นคนนึงหรือเปล่า ? ที่กำลังโฟกัสกับเป้าหมายส่วนตัว หรืออาจจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียนเป็นหลัก บางครั้งให้ความสำคัญและใช้เวลาส่วนมากในแต่ละวันไปกับโลกโซเชียล จนหลายต่อหลายครั้งละเลยสิ่งสำคัญที่สุดในโลกความจริงของคนเราไป นั่นก็คือ “ความสัมพันธ์” ไม่ว่าจะกับคนในครอบครัว คนรัก เพื่อน หรือบุคคลใกล้ชิด ดังนั้น หากใครคนนั้นคือคุณหรือเกือบจะเป็นคุณแล้วละก็.. วันนี้ฤกษ์งามยามดี “6 Missions to the Moon” ให้คุณลอง ปรับ mindset ตัวเองต้อนรับปีใหม่กันดีกว่า เพื่อเสริมแกร่งความสัมพันธ์ดี ๆ ที่จะช่วยเติมเต็มความสุขที่แท้จริงให้กับคุณและคนรอบข้างได้อย่างดี (มี Easter Egg ตอน End Credit) Start Mission Campaign เริ่มที่ตัวเอง.. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยการ “ปรับ mindset” ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการสร้างความสัมพันธ์ มักเป็นเรื่องของคนสองคน หรือกลุ่มคนหลายคน การจะเปลี่ยนให้ทุกคนมาได้ดั่งใจคุณเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ดังนั้นการปรับ mindset ที่ตัวคุณเองก่อนจึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งสำคัญคือคุณต้องกล้าเปิดใจ ระงับอีโก้ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกตัวเอง ต้องรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และยึดมั่นในสิ่งไหน เมื่อตั้งจุดตรงนี้ได้แล้ว คุณก็สามารถเริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นได้เลย โดยลุยไปพร้อม ๆ กันกับ 6 ด่านภารกิจสำคัญดังต่อไปนี้ 1st Mission ปรับความเข้าใจเพื่อเรียนรู้ “ตัวตนที่แท้จริง” ความคิดของคนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นที่ว่า “ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนั้น” “ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้” “ทำไมเขาไม่เป็นในแบบที่คุณชอบ” ซึ่งการเกิดคำถามเหล่านี้แสดงว่าคุณยังไม่เริ่มเปิดใจในการทำความเข้าใจตัวตนที่แท้จริง ดังนั้นการปรับ mindset ข้อนี้จึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก โดยการพยายามเข้าใจ “ตัวตนที่แท้จริง” ของใครสักคน จะเท่ากับ การพยายามทำความเข้าใจ “ภูมิหลัง” ของคน ๆ นั้น หรือพยายามหาสาเหตุว่าทำไมคน ๆ นั้นเกิดความคิด เกิดความรู้สึก เกิดพฤติกรรมแบบนั้น ถ้าหากจับจุดตรงนี้ได้ คุณจะเข้าใจคน ๆ นั้นได้มากยิ่งขึ้น 2nd Mission ปรับการแสดงความรู้สึกให้เป็นในเชิงบวก…

Read More

สิ่งที่เรียกว่า ‘ธุรกิจ’ ในสายตาของคุณนั้นคืออะไร ?.. หากย้อนกลับไปสิบถึงยี่สิบปีก่อน การมีแบรนด์คงไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง พ่อค้าแม่ขายตลาดนัด คุณป้าร้านขายของชำ ไปจนถึงอาเฮียร้านห้องแถวขายอุปกรณ์ก่อสร้าง พวกเขาก็ยังสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ ส่งลูกเรียนจนจบได้ แต่ทว่าเมื่อโลกก้าวสู่ยุคใหม่อย่างปัจจุบัน การสร้างแบรนด์ (Branding) ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ขึ้นมา และเรียกว่าถ้าใครไม่ปรับตัวเป็นต้องน้ำตาตก เพราะแน่นอนว่ามนุษย์เราไม่ได้พึงพอใจจากการได้ครอบครองสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสบายใจจากการปฏิสัมพันธ์และได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากแบรนด์เหล่านั้นด้วย ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เรียกว่าการสร้าง Brand Personality ที่ลูกค้า Apple น่าจะเข้าใจได้ดี และยอมถวายตัวเป็นสาวก แต่การที่แบรนด์ใด ๆ จะไต่เต้าไปซึ่งถึงการเป็นศาสดา สิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ Brand Archetypes ที่เริ่มทวีความสำคัญเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แล้วไอ้เจ้า “Brand Archetypes” (แบรนด์ อาคิไทพ์) มันคืออะไรล่ะ ? คุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยิน ??.. มันสำคัญ ? จำเป็น ? ใช้ยังไง ? ??? คำถามมากมายที่ชวนฉงนสนเท่ห์ที่รอคอยคำตอบอยู่นาน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าปลายทางของแบรนด์คุณคือการสร้าง Brand Personality ดังนั้นคุณต้องเริ่มที่การทำความรู้จักเจ้านี่กันอย่างจริงจังเสียก่อน Brand Archetype คืออะไร ? Brand Archetypes คือวิธีการสร้างบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality) รูปแบบหนึ่ง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากทฤษฎีทางจิตวิทยาของ คาร์ล ยุง (Carl Jung) จิตแพทย์ชาวสวิสลูกศิษย์ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ผู้เป็นต้นคิดเรื่องจิตใต้สำนึกและความฝันในศาสตร์ด้านจิตวิทยา โดย คาร์ล ยุง ก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของฟรอยด์ และนำมาปรับใช้จนกลายเป็นทฤษฎี “Human Archetypes” ซึ่งแบ่งประเภทของคนออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ได้แก่ กลุ่มจิตวิญญาณ (Spirit), กลุ่มความคิด (Thought), กลุ่มพลังงาน (Energy), กลุ่มอารมณ์ (Emotion), กลุ่มแก่นสาร (Substance) จนในปัจจุบัน…

Read More

ในแต่ละวันเราต่างก็ต้องใช้พลังงานจากสารอาหารในการดำเนินชีวิต และมื้อที่สำคัญที่สุดเพื่อบูสต์อัพพลังงานของคุณให้มีเรี่ยวแรงไปลุยงานได้ตลอดวัน ก็คงหนีไม่พ้นมื้อเช้า และแน่นอน.. เราจะมาคุยกันด้วยเรื่องของ “เมนูอาหารเช้า” ที่เหมาะแก่การให้พลังงานที่ดีต่อร่างกาย ทำให้สามารถออกไปเรียน ออกไปทำงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญเมนูอาหารเช้าที่เราจะไปโฟกัสกันเหล่านั้น เน้นให้พลังงานตลอดทั้งวัน มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับวัยรุ่นวัยเรียนลุยหนักอ่านหนังสือสอบ หรือหนุ่มสาววัยทำงานเข้าออฟฟิศ ทานได้เป็นประจำ ทำไม่ยากและหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย ข้อดีของการทานอาหารเช้า เป็นประจำทุกวัน ชีวิตของคนในปัจจุบันมักจะละเลยอาหารเช้า โดยเฉพาะคนที่ทำงานในเมือง และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินทางไปทำงานที่เคร่งเครียด ทั้ง ๆ ที่มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่ควรทานเป็นประจำ หากขาดไปแล้วไปเน้นบริโภคมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นทดแทนก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะคุณคงทราบดีว่ามื้ออาหารเหล่านั้นมีความสำคัญรองลงมา บางครั้งหากคุณบริโภคเพียงอาหารเช้าเพียงอย่างเดียวให้ได้ดีตามหลักโภชนาการแล้วละก็.. เผลอ ๆ มื้ออื่นก็ไม่จำเป็น เพราะประโยชน์ของเจ้ามื้อเช้ามีดังต่อไปนี้.. 1. ช่วยสะสมพลังงานในร่างกาย ช่วงเวลาที่เรานอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมง คือช่วงเวลาที่เราไม่ได้รับสารอาหารใด ดังนั้นพลังงานที่อยู่ในร่างกายของวันเก่า ก็จะถูกนำมาใช้จนหมด ดังนั้นการทานอาหารเช้า จึงสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะเมื่อตื่นมาร่างกายจะต้องการพลังงาน ถ้าเราได้ทานอาหารเช้า พลังงานในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี 2. ช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี การทานอาหารเช้าไม่ว่าจะเป็นเมนูเบา ๆ หรือเป็นเมนูหนัก ร่างกายจะมีการเผาผลาญพลังงานและกระบวนการย่อยได้อย่างดีเยี่ยมกว่ามื้ออื่น ๆ  จะสังเกตเห็นว่าในการลดน้ำหนัก โปรแกรมโภชนาการต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับมื้อเช้าเป็นพิเศษ และลดความสำคัญของมื้อเย็นแทน เพราะช่วงเช้าเป็นช่วงที่เริ่มต้นวันใหม่ในการทำกิจกรรม การทำงานต่าง ๆ ก็จะช่วยเผาพลาญและได้รับสารอาหารที่ดี 3. ทำให้สมองและร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เมื่อตื่นนอนและได้รับประทานอาหารเช้า จะช่วยทำให้กลูโคสในร่างกายจะช่วยทำให้สมองแล่น อีกทั้งยังให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉง ช่วยทำให้มีสมาธิได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือไม่ง่วงนอน อารมณ์ดี สดใสได้ตลอดทั้งวัน หากได้รับสารอาหารที่เพียงพอ 4. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เบาหวาน หัวใจ และอัลไซเมอร์ ถ้าหากทานอาหารเช้าเป็นประจำ ตามหลักการแพทย์มีระบุไว้ชัดเจนว่า จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากการทานมื้อเช้าเป็นการเติมสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเป็นช่วงที่ร่างกายสามารถสร้างพลังงานที่ดีต่อร่างกายได้ดีกว่ามื้ออื่น ๆ ทำให้ระบบร่างกายสามารถทำงานได้ดี และลดความเสี่ยงในโรคต่าง ๆ เหล่านั้นได้ เมนูอาหารเช้า ทำง่าย ๆ เติมพลังให้ลุยงานได้ทั้งวัน สำหรับ เมนูอาหารเช้า 4 เมนูที่จะมาแนะนำให้ทุกคน…

Read More

หนุ่มสาววัยทำงานที่อาจจะทำงานมาได้สักพักจนเริ่มมีความมั่นคงทางฐานะการเงิน และกำลังคิดจะใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิต หรือเป็นหนี้ก้อนโตอย่างการลงทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย เนื้อหาในบทความนี้ส่วนนึงได้เรียบเรียงจากหนังสือ “Talent of Money” by Tokio Godo ซึ่งมีข้อคิดดี ๆ ที่น่าสนใจ เป็นคำแนะนำอีกด้านหนึ่งก่อนตัดสินใจ ซื้อบ้าน ช่วยให้คุณตระหนักว่า คุณควรเช่าหรือซื้อ ? และรวมถึงนำเสนอแนวคิดง่าย ๆ ก่อนเลือกที่อยู่อาศัย อ่านจบคุณจะมีข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่คุณอาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อน ช่วยให้คิดรอบด้านได้อย่างรอบคอบ ก่อนจะตัดสินใจใช้เงินเก็บทั้งชีวิต ซื้อบ้านหรือเช่าบ้าน จั่วหัวมาแบบตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม แต่ก็บอกได้ตรง ๆ เช่นกันว่า.. ไม่สามารถฟันธงได้ว่าการซื้อบ้านหรือเช่าบ้านแบบไหนดีกว่ากัน เพราะคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านรสนิยมของแต่ละคนด้วย แต่สิ่งที่แยกสองสิ่งนี้ออกจากกันนั่นคือข้อมูลด้านความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ คำแนะนำเบื้องต้นคือหากคุณมองว่าบ้านเป็นอสังหาริมทรัยพ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ อย่างแรกเลยคือคุณต้องแยกประเด็นของ “การครอบครอง” กับ “การใช้ประโยชน์” ออกจากกันโดยปราศจากอารมณ์และความรู้สึกอยากได้ อยากมีเสียก่อน เพราะปัจจุบันไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วที่เราจะต้องอยู่อาศัยที่ใดทีนึงไปตลอดชีวิต ทางเลือกของคนเรามีมากขึ้น เราอาจโยกย้ายธุรกิจ ขยับขยายตามแหล่งทำมาหากินใหม่ ๆ หรือหากคุณเป็นพนักงานบริษัท คุณอาจเปลี่ยนงานไปยังที่ใหม่ ๆ ที่อัพเงินเดือนให้มากขึ้น หรือถ้าคุณไม่ย้ายที่ทำงาน แต่บริษัทเองก็อาจย้ายที่จากการรวบควบกิจการก็เป็นไปได้เช่นกัน.. ดังนั้น ที่ตั้ง ทำเล พื้นที่ใช้สอย หรือแบบแปลนบ้านก็ยังเปลี่ยนไปตามปัจจัยอื่น ๆ ได้ อย่างเช่น การมีลูก สถานที่ตั้งของโรงเรียนของลูก หรือในอนาคตเมื่อลูกโต คุณก็ต้องเจอปัจจัยใหม่ ๆ เพิ่ม อย่างที่ตั้งของที่ทำงานของลูก และบางครั้งตัวคุณเองก็อาจจะมีแนวคิดใหม่ ๆ อย่างต้องการย่นระยะเวลาในการเดินทางด้วยการหาที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเมืองเพื่อเร่งทำงาน หรือแม้แต่อยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากขึ้นด้วยการขยับออกมาในเขตชานเมือง เห็นได้ชัดว่าเมื่อความชอบของคุณเปลี่ยนไป แฟชั่นก็จะเปลี่ยนตาม ทรงผม เสื้อผ้าที่ใส่ก็เปลี่ยนไปตามเวลา สถานที่ และโอกาส ดังนั้นแนวความคิดที่ว่า “คุณทำงานที่นี่ไม่ได้เพราะอยู่ตรงนี้” “ไปจากบ้านไม่สะดวก” แม้เวลา สถานที่ และโอกาสในชีวิตจะเปลี่ยนแปลง ทำให้ตัวเลือกในชีวิตแคบลงเนื่องจากถูกจำกัดด้วยสถานที่อยู่อาศัย หากเป็นเช่นนั้น ลองปรับมายด์เซ็ตที่คิดว่า “ที่อยู่อาศัย” คือสถานที่ที่เลือกเพื่อให้เหมาะกับสไตล์การใช้ชีวิตหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตัวเองที่สุดจะดีกหว่าหรือไม่.. เลือกเช่า เท่ากับ เลือกอิสระ วิธีที่ง่ายที่สุดในการเลือกที่อยู่อาศัยคือการเช่า.. การซื้อบ้านมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเสียเวลาของมันอยู่ ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ แตกต่างกับการเช่าลิบลับ ที่คุณสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีหลังทำสัญญาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง และหากเกิดความเปลี่ยนแปลงในปัจจัยใด ๆ…

Read More

หากคุณเป็นคนนึงที่เพิ่งเรียนจบกำลังจะเริ่มทำงาน หรือเคยทำงานมาแล้วแต่กำลังจะย้ายไปที่ทำงานใหม่ เชื่อว่าคุณต้องมีความประหม่ากับเส้นทางเดินใหม่ของชีวิตนี้อยู่บ้าง ข้อคิดที่น่าสนใจคือ.. คุณที่ได้สวมหมวกพนักงานใหม่ต้องทำอย่างไรที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ “เพื่อนร่วมงาน” คุณควรจะวางตัวแบบไหนให้เหมาะสมกับสังคมและสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เพราะต่อให้งานที่ทำหรือบริษัทจะดีแค่ไหน แต่การสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือคอนเนคชั่นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากคุณเจอเพื่อนร่วมงานที่ดี พวกเขาก็พร้อมช่วยเหลือ พร้อมผลักดัน หรืออย่างแย่คือต่อให้เขาเหล่านั้นไม่ค่อยโอเคสำหรับคุณ แต่หากคุณอยู่เป็นหรือวางตัวได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปด้วยดีได้เช่นกัน วิธีง่าย ๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ “เพื่อนร่วมงาน” กรณีที่คุณเป็น New Joiner ของบริษัทหรือเพิ่งเข้ามาทำงาน ดังนั้นเนื้อหาส่วนนี้จะแนะนำวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานใหม่ ซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะ First impression จะเป็นสิ่งที่คนเราจดจำได้ดีที่สุดเมื่อได้รู้จักใครบางคน และอาจจะพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ในทิศทางที่ดี และอาจเสริมให้หน้าที่การงานให้เป็นไปในทิศทางที่ดีด้วยเช่นกัน ขอให้คุณเปิดใจก่อนศึกษาวิธีดังต่อไปนี้ 1. ทักทายและตั้งคำถามที่รีแล็กซ์ สำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาทำงานในวันแรก คุณควรทักทายทุกคนที่จำเป็นต้องทำงานด้วย เราขอเน้นว่า “คนที่ต้องทำงานด้วย” เราไม่ได้อยากให้คุณทักทายใครก็ได้ไปเรื่อย เพราะมันจะดูแปลกประหลาดในสายตาคนอื่นที่มองคุณในฐานะที่เป็นพนักงานน้องใหม่ และอยากให้คุณเน้นเรื่องของการแสดงความจริงใจและรอยยิ้ม นอกจากนี้.. หากสามารถทำได้ก็ขอแนะนำให้ถามเกี่ยวกับการทำงานทั่ว ๆ ไปกับคู่สนทนา ไม่ต้องลงรายละเอียดมากนัก และคุณก็ควรหาจังหวะบอกข้อมูลของตัวเองโดยไม่ต้องลงรายละเอียดมากด้วยเช่นกัน จากนั้นคุณอาจจะลองเริ่มบทสนทนาเรื่องรีแล็กซ์ทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นว่า “ปกติกินข้าวกันที่ไหน” “การเดินทางมาทำงานเป็นอย่างไร” สิ่งเหล่านี้คือเบื้องต้นที่ควรจะทำในการสร้างความสัมพันธ์ ในตอนที่เพิ่งเข้าทำงานวันแรก ๆ กับเพื่อนร่วมงาน 2. เสนอความช่วยเหลืออย่างพอดี การให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน นับเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แต่อย่าลืมว่าคุณจะต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จก่อน และถ้ามีเวลาเหลือก็สามารถเสนอตัวเข้าไปช่วยได้ หรือถ้าหากมีใครต้องการขอความช่วยเหลือ และถ้าคุณสามารถช่วยเหลือได้โดยที่ไม่ทำให้งานของตัวเองเสีย ก็ให้รีบตอบรับในทันที เมื่อรับปากแล้วคุณควรพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในจุดนี้จะเปิดโอกาสให้คุณได้รู้จักเพื่อนร่วมงานดีมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับข้อนี้.. อยากให้ข้อคิดกับคุณว่า นิสัยใจคอของคนเรานั้นมากมายหลากหลาย หากคุณพบว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นของคุณร้องขอความช่วยเหลือบ่อย ๆ ในชนิดที่คุณเริ่มเอะใจแล้วว่าคือการเอาเปรียบ ให้คุณรีบถอยออกมา และปฏิเสธอย่างมีมารยาท 3. Team is the best ถ้าคุณต้องทำงานเป็นทีมเป็นหลัก การทำงานเป็นทีมคือการเพิ่มความสนิทชิดเชื้อที่ดีที่สุด เริ่มแรกให้คุณทำตามหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ฟังความเห็นต่าง ๆ ของคนในทีม หรือหากมีไอเดียอะไรดี ๆ คุณก็สามารถนำเสนอได้ หรือช่วยเหลือคนในทีมได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องจำให้ดี คือห้ามก้าวก่ายงานคนอื่นเป็นอันขาด และถ้าหากคุณทำงานแล้วเกิดติดขัดตรงไหน คุณต้องกล้าถาม และพยายามปรับปรุงให้เข้ากับแผนงานที่ได้มีการวางไว้อย่างเคร่งครัด 4. จริงใจต่อเพื่อนร่วมงาน “ความจริงใจ”…

Read More

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิด ทำให้รูปแบบการทำงานนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก หลายคนคงได้ยินคำว่า Work from home หรือ Hybrid work มาพอสมควร สภาพการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้มนุษย์ออฟฟิศมีพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลายคนรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ทำงานอยู่บ้านกับครอบครัว ทว่าขณะเดียวกันก็อยากยืดหยุ่นการทำงานและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าการบริหารองค์กรด้วยการทำงานรูปแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ Work Life Balance ของผู้คนอีกต่อไป ซึ่งหลายครั้งก็ไม่อาจรั้งพวกเขาให้อยู่กับเราได้นานเช่นกาลก่อน ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่าง The Great Resignation และ Quiet Quitting ในช่วงล่าสุดที่ผ่านมา และคล้ายกับว่านี่เป็น Butterfly Effect ที่มีผลต่อองค์กรในกาลข้างหน้าอย่างมากทีเดียว วันนี้เราจึงอยากแชร์เทรนด์การทำงานปัจจุบันที่สามารถตอบโจทย์ของการบริหารธุรกิจของคุณกันครับ ว่าจะไปในทิศทางไหนได้บ้าง กับ 5 รูปแบบการทำงานที่มาแรงในยุคใหม่ การทำงานยุคใหม่ที่มาแรง เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การทำงานอยู่ภายในออฟฟิศแบบซังกะตายแบบเดิม ๆ อาจเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้คนยุคใหม่เลือกอยู่กับเราน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการบริหารธุรกิจและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการขาดพนักงานที่สามารถรับผิดชอบในงานสำคัญ หรือจะเป็นรับภาระงานอันหนักหน่วงของพนักงานที่ยังเหลืออยู่ในบริษัท สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้พนักงานเกิดอาการ Burn Out และขาดแรงใจจะอยู่กับเราในที่สุด และจากที่เกริ่นกันไปแล้ว.. ทีนี้เรามาดูกันครับว่า มีรูปแบบการทำงานแบบใดบ้างที่จะทำให้การบริหารธุรกิจและองค์กรของเราเป็นเรื่องที่สะดวกยิ่งขึ้น 1. Remote and Hybrid work ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานทางไกลเป็นตัวเลือกลำดับแรกที่ดึงดูดใจพนักงานเก่าหรือคนอื่นที่พบเห็นใบสมัครในบริษัทของเราเป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะความสนใจ โดยรูปแบบการทำงานแบบทางใกล้จะมีหลายรูปแบบย่อย ตามแต่เราจะวางเงื่อนไขรูปแบบดังกล่าว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบย่อย ได้แก่ 2. Visual Team Building Google Meet, Zoom, Microsoft Team เป็นตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กของคุณได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าว การจะฟอร์มทีมสำหรับเรียกประชุมและคุยงานก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว และยิ่งมี VR หรือ Visual Reality เป็นหนึ่งในเครื่องมือจากนวัตกรรมสุดล้ำที่มีความสามารถจำลองภาพให้เสมือนจริงบนโลก Metaverse คุณก็ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเติมเต็มการทำงานขององค์กรได้อีกด้วย 3. Working Wellness หากเปรียบพนักงานในบริษัท เป็นเสมือนทหารที่ต้องผ่านสมรภูมิรบในทุกวัน ก็คงไม่แปลกนัก.. ท่ามกลางกระแสความก้าวล้ำและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แน่นอนว่าต้องมีความวุ่นวายตามมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตอย่างมาก หลายคนมีอาการหวั่นวิตก เครียด หมดไฟ หรือแม้แต่เป็นซึมเศร้า และจะดีไม่น้อยหากบริษัทสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพด้วยการเปิดพื้นที่เปิด การบริการให้การปรึกษา หรือทำการตลาดขึ้นภายในองค์กร ซึ่งเสนอทางแก้ให้พนักงานที่ประสบปัญหาได้อย่างยืดหยุ่นและตรงจุด การทำเบี้ยพักผ่อนนอนหลับของพนักงานในบริษัท Crazy…

Read More

ชีวิตในแต่ละวันต่างก็ต้องฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรัก ที่อาจเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ หรือเป็นเรื่องที่ใหญ่โตจนใจเราเกินจะต้านไหว ในบทความนี้จึงจะมาแนะนำวิธีการ สร้าง “พลังบวก” ให้ใจแข็งแรง พร้อมลุยทุกปัญหา ทุกอุปสรรค สามารถผ่านความทุกข์และผ่านความสุขได้เป็นอย่างดี หากใจคุณยังไม่แข็งแรงพอ มีอาการท้อถอย หรือรู้สึกดาวน์ ๆ แนะนำว่าต้องรีบอ่านกันเลย 6 วิธีเริ่มต้น สร้างพลังบวก ++ ให้ใจแข็งแรงง่าย ๆ ในการสร้างพลังบวกมีวิธีมากมายให้เลือกใช้หรือเลือกทำ แต่สิ่งที่สำคัญคือใจเราต้องพร้อม พร้อมที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองจริง ๆ เพราะถ้าหากใจไม่สู้ ใจมันถอย ใจมันยอมแพ้ไปตั้งแต่แรก เราก็จะไม่สามารถเติมเต็มพลังบวกให้กับตัวเองได้ ดังนั้นเคลียร์ใจตัวเองให้ดี สร้างความตั้งใจ สร้างเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ ถ้าเคลียร์ตรงนี้ได้แล้ว ก็ไปดูกันเลยดีกว่าว่า 6 วิธีที่สามารถสร้างพลังบวกมีอะไรบ้าง 1. ดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอกให้มากขึ้น เริ่มต้นง่าย  ๆ กับการสร้าง “พลังบวก” เพียงแค่หันมาสำรวจตัวเองทั้งภายนอก ว่าได้มีการดูแลหน้าตา ผม และการแต่งตัวว่าเป็นอย่างไร แนะนำให้ปรับเปลี่ยนในลุคที่ตัวเองรู้สึกมั่นใจที่สุดและจะต้องสะอาดสะอ้านด้วย ส่วนภายในจิตใจก็พยายามเสพสิ่งที่ดีต่อใจ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ดูซีรีส์ อ่านหนังสือในแนวให้พลังบวก และงดเว้นการเสพข่าว และเสพโซเชียลจะทำให้สร้างพลังบวกได้ง่ายยิ่งขึ้น 2. พาตัวเองไปเที่ยวให้ธรรมชาติบำบัด พลังบวก การเปลี่ยนบรรยากาศไปยังสถานที่ใหม่ ๆ จะช่วยทำให้เปลี่ยนมุมมองความคิดและบรรยากาศได้เป็นอย่างดี การไปให้ธรรมชาติบำบัดและหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าร่างกายไม่เพียงทำไปเพื่อให้ได้รับอากาศที่สดชื่น แต่ยังสามารถช่วยให้เราผ่อนคลาย และสามารถตกตะกอนความคิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะการพักผ่อนก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะธรรมชาติที่ทำให้หัวใจของเราได้เติมเต็ม เพราะสิ่งเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในเมืองใหญ่ 3. ดีใจทุกครั้งเวลาที่ทำอะไรสำเร็จพร้อมให้รางวัลตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่เวลาทำอะไรสำเร็จ ให้ดีใจทุกครั้งจะชมตัวเองก็ได้ หรือจะร้อง “เย้” ก็ได้ เพราะสิ่งนี้เป็นการ สร้างพลังบวกที่ถือว่าดีมาก เพราะไม่เพียงแต่จะเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองแล้ว ยังสามารถเพิ่มความภาคภูมิใจในการทำสิ่ง ๆ นั้นได้สำเร็จด้วย และแน่นอนว่าถ้าความสำเร็จเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองล่ะ นั่นคือสิ่งที่ตอบแทนในการทำเป้าหมายที่วางไว้สำเร็จนั่นเอง 4. มีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา บนโลกจะมีความคิดอยู่ 3 แบบ คือมองโลกในแง่ดี มองโลกในแง่ร้าย หรือมองโลกตามความจริง ทางที่ดีควรมองโลกตามความจริง และพยายามหาความสุขจากสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นรอบตัวเราก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องเล็ก…

Read More

แม้ว่าสงครามและโรคระบาดจะเริ่มซาลงกว่าแต่ก่อน ทว่ากระแสเทรนด์ดิจิทัลก็ยังคงมาแรงไม่หยุดยั้ง เพียงไม่ทันไรโลกของเราก็เริ่มพลัดเปลี่ยนจาก Digital Marketing (DM) สู่ Metaverse Marketing (MM) เสียแล้ว ซึ่งพลิกโฉมวงการตลาดแบบดั้งเดิมไปตลอดกาล ผ่าน VR หรือ AR เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น คุณก็สามารถข้ามมิติไปสู่อีกจักรวาลหนึ่งได้จากทุกที่ทุกเวลา เสมือนถอดกายทิพย์พร้อมล่องลอยไปได้หนแห่งอย่างอิสระ ไม่ว่าจะในฐานะ ‘ลูกค้า’ ที่สามารถเลือกช้อป เลือกลองเสื้อผ้าและสินค้าอื่นได้จากร้านค้าทั่วทั้งโลก หรือ ‘ผู้สร้าง’ ที่มีอำนาจสร้างสรรค์โลกและร้านค้าแบบเล่นใหญ่ไฟกระพริบ ก็ย่อมสามารถทำได้ง่ายนิดเดียว แถมประหยัดต้นทุนและเวลาไปมากทีเดียว และในครั้งนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเจ้า MM หรือเมตาเวิร์สให้มากขึ้น พร้อมร่วมเปิดประสบการณ์ทำการตลาดแบบใหม่ที่ทั้งสะดวก ประหยัด และคุ้มค่าอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน Metaverse Marketing (MM) คืออะไร หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในยุคที่ผู้คนต่างเริ่มสร้างอวาตาร์ (Avatars) แทนตัวตนในโลกจริง เพื่อเพิ่มอรรถรสและความสะดวกในการใช้ชีวิตอยู่ละก็ การทำ Metaverse Marketing (MM) หรือการตลาดบนเมตาเวิร์ส ก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากเมตาเวิร์สจะหลอมรวม Omni Channel จากทุกมิติมีรวมอยู่ในโลกเสมือนได้แล้ว ยังสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เสริมสร้าง Brand Personality ให้น่าหลงใหลและน่าจดจำอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มตลาด Gen Z และ Millennials ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้หลักที่มีบทบาทสำคัญและน่าจับตาในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ร่วมกับการขยายตัวของขนาดตลาดซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 678.8 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ภายในปี 2030 Newest Customer Impression : ‘ประตูชัย’ แห่งวงการตลาดในโลกเสมือน จากเหตุผลนี้เองจึงทำให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Coca-Cola, adidas, Nike และ Sony เริ่มบุกตลาดด้วยการสร้างแลนด์มาร์คของตัวเองขึ้นมา โดยมีลักษณะเด่นที่ช่วยสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้ผู้มาเยือนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบ 3 มิติที่กวาดตาได้ครบรอบ 360 องศา การแลกเปลี่ยนเงินตราในโลกเสมือน เช่น Bitcoin, NFT เป็นต้น และความสามารถในการสร้างคอนเทนต์และปฏิสัมพันธ์แบบ Conversational Marketing กันแบบเรียลไทม์ และทั้งหมดนี้เองจึงทำให้เหล่านักการตลาดสามารถติดตามข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคและสนองตอบความต้องการได้ตรงจุดกว่าการพูดคุยผ่านแชทบอท…

Read More