Author: athena_abradmin

สิ่งที่เรียกว่า ‘ธุรกิจ’ ในสายตาของคุณนั้นคืออะไร ?.. หากย้อนกลับไปสิบถึงยี่สิบปีก่อน การมีแบรนด์คงไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง พ่อค้าแม่ขายตลาดนัด คุณป้าร้านขายของชำ ไปจนถึงอาเฮียร้านห้องแถวขายอุปกรณ์ก่อสร้าง พวกเขาก็ยังสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ ส่งลูกเรียนจนจบได้ แต่ทว่าเมื่อโลกก้าวสู่ยุคใหม่อย่างปัจจุบัน การสร้างแบรนด์ (Branding) ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ขึ้นมา และเรียกว่าถ้าใครไม่ปรับตัวเป็นต้องน้ำตาตก เพราะแน่นอนว่ามนุษย์เราไม่ได้พึงพอใจจากการได้ครอบครองสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสบายใจจากการปฏิสัมพันธ์และได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากแบรนด์เหล่านั้นด้วย ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เรียกว่าการสร้าง Brand Personality ที่ลูกค้า Apple น่าจะเข้าใจได้ดี และยอมถวายตัวเป็นสาวก แต่การที่แบรนด์ใด ๆ จะไต่เต้าไปซึ่งถึงการเป็นศาสดา สิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ Brand Archetypes ที่เริ่มทวีความสำคัญเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แล้วไอ้เจ้า “Brand Archetypes” (แบรนด์ อาคิไทพ์) มันคืออะไรล่ะ ? คุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยิน ??.. มันสำคัญ ? จำเป็น ? ใช้ยังไง ? ??? คำถามมากมายที่ชวนฉงนสนเท่ห์ที่รอคอยคำตอบอยู่นาน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าปลายทางของแบรนด์คุณคือการสร้าง Brand Personality ดังนั้นคุณต้องเริ่มที่การทำความรู้จักเจ้านี่กันอย่างจริงจังเสียก่อน Brand Archetype คืออะไร ? Brand Archetypes คือวิธีการสร้างบุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality) รูปแบบหนึ่ง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากทฤษฎีทางจิตวิทยาของ คาร์ล ยุง (Carl Jung) จิตแพทย์ชาวสวิสลูกศิษย์ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ผู้เป็นต้นคิดเรื่องจิตใต้สำนึกและความฝันในศาสตร์ด้านจิตวิทยา โดย คาร์ล ยุง ก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของฟรอยด์ และนำมาปรับใช้จนกลายเป็นทฤษฎี “Human Archetypes” ซึ่งแบ่งประเภทของคนออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ได้แก่ กลุ่มจิตวิญญาณ (Spirit), กลุ่มความคิด (Thought), กลุ่มพลังงาน (Energy), กลุ่มอารมณ์ (Emotion), กลุ่มแก่นสาร (Substance) จนในปัจจุบัน…

Read More

ในแต่ละวันเราต่างก็ต้องใช้พลังงานจากสารอาหารในการดำเนินชีวิต และมื้อที่สำคัญที่สุดเพื่อบูสต์อัพพลังงานของคุณให้มีเรี่ยวแรงไปลุยงานได้ตลอดวัน ก็คงหนีไม่พ้นมื้อเช้า และแน่นอน.. เราจะมาคุยกันด้วยเรื่องของ “เมนูอาหารเช้า” ที่เหมาะแก่การให้พลังงานที่ดีต่อร่างกาย ทำให้สามารถออกไปเรียน ออกไปทำงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญเมนูอาหารเช้าที่เราจะไปโฟกัสกันเหล่านั้น เน้นให้พลังงานตลอดทั้งวัน มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับวัยรุ่นวัยเรียนลุยหนักอ่านหนังสือสอบ หรือหนุ่มสาววัยทำงานเข้าออฟฟิศ ทานได้เป็นประจำ ทำไม่ยากและหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย ข้อดีของการทานอาหารเช้า เป็นประจำทุกวัน ชีวิตของคนในปัจจุบันมักจะละเลยอาหารเช้า โดยเฉพาะคนที่ทำงานในเมือง และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินทางไปทำงานที่เคร่งเครียด ทั้ง ๆ ที่มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่ควรทานเป็นประจำ หากขาดไปแล้วไปเน้นบริโภคมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นทดแทนก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะคุณคงทราบดีว่ามื้ออาหารเหล่านั้นมีความสำคัญรองลงมา บางครั้งหากคุณบริโภคเพียงอาหารเช้าเพียงอย่างเดียวให้ได้ดีตามหลักโภชนาการแล้วละก็.. เผลอ ๆ มื้ออื่นก็ไม่จำเป็น เพราะประโยชน์ของเจ้ามื้อเช้ามีดังต่อไปนี้.. 1. ช่วยสะสมพลังงานในร่างกาย ช่วงเวลาที่เรานอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมง คือช่วงเวลาที่เราไม่ได้รับสารอาหารใด ดังนั้นพลังงานที่อยู่ในร่างกายของวันเก่า ก็จะถูกนำมาใช้จนหมด ดังนั้นการทานอาหารเช้า จึงสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะเมื่อตื่นมาร่างกายจะต้องการพลังงาน ถ้าเราได้ทานอาหารเช้า พลังงานในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี 2. ช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี การทานอาหารเช้าไม่ว่าจะเป็นเมนูเบา ๆ หรือเป็นเมนูหนัก ร่างกายจะมีการเผาผลาญพลังงานและกระบวนการย่อยได้อย่างดีเยี่ยมกว่ามื้ออื่น ๆ  จะสังเกตเห็นว่าในการลดน้ำหนัก โปรแกรมโภชนาการต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับมื้อเช้าเป็นพิเศษ และลดความสำคัญของมื้อเย็นแทน เพราะช่วงเช้าเป็นช่วงที่เริ่มต้นวันใหม่ในการทำกิจกรรม การทำงานต่าง ๆ ก็จะช่วยเผาพลาญและได้รับสารอาหารที่ดี 3. ทำให้สมองและร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เมื่อตื่นนอนและได้รับประทานอาหารเช้า จะช่วยทำให้กลูโคสในร่างกายจะช่วยทำให้สมองแล่น อีกทั้งยังให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉง ช่วยทำให้มีสมาธิได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือไม่ง่วงนอน อารมณ์ดี สดใสได้ตลอดทั้งวัน หากได้รับสารอาหารที่เพียงพอ 4. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เบาหวาน หัวใจ และอัลไซเมอร์ ถ้าหากทานอาหารเช้าเป็นประจำ ตามหลักการแพทย์มีระบุไว้ชัดเจนว่า จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากการทานมื้อเช้าเป็นการเติมสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเป็นช่วงที่ร่างกายสามารถสร้างพลังงานที่ดีต่อร่างกายได้ดีกว่ามื้ออื่น ๆ ทำให้ระบบร่างกายสามารถทำงานได้ดี และลดความเสี่ยงในโรคต่าง ๆ เหล่านั้นได้ เมนูอาหารเช้า ทำง่าย ๆ เติมพลังให้ลุยงานได้ทั้งวัน สำหรับ เมนูอาหารเช้า 4 เมนูที่จะมาแนะนำให้ทุกคน…

Read More

หนุ่มสาววัยทำงานที่อาจจะทำงานมาได้สักพักจนเริ่มมีความมั่นคงทางฐานะการเงิน และกำลังคิดจะใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิต หรือเป็นหนี้ก้อนโตอย่างการลงทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย เนื้อหาในบทความนี้ส่วนนึงได้เรียบเรียงจากหนังสือ “Talent of Money” by Tokio Godo ซึ่งมีข้อคิดดี ๆ ที่น่าสนใจ เป็นคำแนะนำอีกด้านหนึ่งก่อนตัดสินใจ ซื้อบ้าน ช่วยให้คุณตระหนักว่า คุณควรเช่าหรือซื้อ ? และรวมถึงนำเสนอแนวคิดง่าย ๆ ก่อนเลือกที่อยู่อาศัย อ่านจบคุณจะมีข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่คุณอาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อน ช่วยให้คิดรอบด้านได้อย่างรอบคอบ ก่อนจะตัดสินใจใช้เงินเก็บทั้งชีวิต ซื้อบ้านหรือเช่าบ้าน จั่วหัวมาแบบตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม แต่ก็บอกได้ตรง ๆ เช่นกันว่า.. ไม่สามารถฟันธงได้ว่าการซื้อบ้านหรือเช่าบ้านแบบไหนดีกว่ากัน เพราะคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านรสนิยมของแต่ละคนด้วย แต่สิ่งที่แยกสองสิ่งนี้ออกจากกันนั่นคือข้อมูลด้านความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ คำแนะนำเบื้องต้นคือหากคุณมองว่าบ้านเป็นอสังหาริมทรัยพ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ อย่างแรกเลยคือคุณต้องแยกประเด็นของ “การครอบครอง” กับ “การใช้ประโยชน์” ออกจากกันโดยปราศจากอารมณ์และความรู้สึกอยากได้ อยากมีเสียก่อน เพราะปัจจุบันไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วที่เราจะต้องอยู่อาศัยที่ใดทีนึงไปตลอดชีวิต ทางเลือกของคนเรามีมากขึ้น เราอาจโยกย้ายธุรกิจ ขยับขยายตามแหล่งทำมาหากินใหม่ ๆ หรือหากคุณเป็นพนักงานบริษัท คุณอาจเปลี่ยนงานไปยังที่ใหม่ ๆ ที่อัพเงินเดือนให้มากขึ้น หรือถ้าคุณไม่ย้ายที่ทำงาน แต่บริษัทเองก็อาจย้ายที่จากการรวบควบกิจการก็เป็นไปได้เช่นกัน.. ดังนั้น ที่ตั้ง ทำเล พื้นที่ใช้สอย หรือแบบแปลนบ้านก็ยังเปลี่ยนไปตามปัจจัยอื่น ๆ ได้ อย่างเช่น การมีลูก สถานที่ตั้งของโรงเรียนของลูก หรือในอนาคตเมื่อลูกโต คุณก็ต้องเจอปัจจัยใหม่ ๆ เพิ่ม อย่างที่ตั้งของที่ทำงานของลูก และบางครั้งตัวคุณเองก็อาจจะมีแนวคิดใหม่ ๆ อย่างต้องการย่นระยะเวลาในการเดินทางด้วยการหาที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเมืองเพื่อเร่งทำงาน หรือแม้แต่อยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากขึ้นด้วยการขยับออกมาในเขตชานเมือง เห็นได้ชัดว่าเมื่อความชอบของคุณเปลี่ยนไป แฟชั่นก็จะเปลี่ยนตาม ทรงผม เสื้อผ้าที่ใส่ก็เปลี่ยนไปตามเวลา สถานที่ และโอกาส ดังนั้นแนวความคิดที่ว่า “คุณทำงานที่นี่ไม่ได้เพราะอยู่ตรงนี้” “ไปจากบ้านไม่สะดวก” แม้เวลา สถานที่ และโอกาสในชีวิตจะเปลี่ยนแปลง ทำให้ตัวเลือกในชีวิตแคบลงเนื่องจากถูกจำกัดด้วยสถานที่อยู่อาศัย หากเป็นเช่นนั้น ลองปรับมายด์เซ็ตที่คิดว่า “ที่อยู่อาศัย” คือสถานที่ที่เลือกเพื่อให้เหมาะกับสไตล์การใช้ชีวิตหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตัวเองที่สุดจะดีกหว่าหรือไม่.. เลือกเช่า เท่ากับ เลือกอิสระ วิธีที่ง่ายที่สุดในการเลือกที่อยู่อาศัยคือการเช่า.. การซื้อบ้านมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเสียเวลาของมันอยู่ ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ แตกต่างกับการเช่าลิบลับ ที่คุณสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีหลังทำสัญญาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง และหากเกิดความเปลี่ยนแปลงในปัจจัยใด ๆ…

Read More

หากคุณเป็นคนนึงที่เพิ่งเรียนจบกำลังจะเริ่มทำงาน หรือเคยทำงานมาแล้วแต่กำลังจะย้ายไปที่ทำงานใหม่ เชื่อว่าคุณต้องมีความประหม่ากับเส้นทางเดินใหม่ของชีวิตนี้อยู่บ้าง ข้อคิดที่น่าสนใจคือ.. คุณที่ได้สวมหมวกพนักงานใหม่ต้องทำอย่างไรที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ “เพื่อนร่วมงาน” คุณควรจะวางตัวแบบไหนให้เหมาะสมกับสังคมและสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เพราะต่อให้งานที่ทำหรือบริษัทจะดีแค่ไหน แต่การสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือคอนเนคชั่นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากคุณเจอเพื่อนร่วมงานที่ดี พวกเขาก็พร้อมช่วยเหลือ พร้อมผลักดัน หรืออย่างแย่คือต่อให้เขาเหล่านั้นไม่ค่อยโอเคสำหรับคุณ แต่หากคุณอยู่เป็นหรือวางตัวได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปด้วยดีได้เช่นกัน วิธีง่าย ๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ “เพื่อนร่วมงาน” กรณีที่คุณเป็น New Joiner ของบริษัทหรือเพิ่งเข้ามาทำงาน ดังนั้นเนื้อหาส่วนนี้จะแนะนำวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานใหม่ ซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะ First impression จะเป็นสิ่งที่คนเราจดจำได้ดีที่สุดเมื่อได้รู้จักใครบางคน และอาจจะพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ในทิศทางที่ดี และอาจเสริมให้หน้าที่การงานให้เป็นไปในทิศทางที่ดีด้วยเช่นกัน ขอให้คุณเปิดใจก่อนศึกษาวิธีดังต่อไปนี้ 1. ทักทายและตั้งคำถามที่รีแล็กซ์ สำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาทำงานในวันแรก คุณควรทักทายทุกคนที่จำเป็นต้องทำงานด้วย เราขอเน้นว่า “คนที่ต้องทำงานด้วย” เราไม่ได้อยากให้คุณทักทายใครก็ได้ไปเรื่อย เพราะมันจะดูแปลกประหลาดในสายตาคนอื่นที่มองคุณในฐานะที่เป็นพนักงานน้องใหม่ และอยากให้คุณเน้นเรื่องของการแสดงความจริงใจและรอยยิ้ม นอกจากนี้.. หากสามารถทำได้ก็ขอแนะนำให้ถามเกี่ยวกับการทำงานทั่ว ๆ ไปกับคู่สนทนา ไม่ต้องลงรายละเอียดมากนัก และคุณก็ควรหาจังหวะบอกข้อมูลของตัวเองโดยไม่ต้องลงรายละเอียดมากด้วยเช่นกัน จากนั้นคุณอาจจะลองเริ่มบทสนทนาเรื่องรีแล็กซ์ทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นว่า “ปกติกินข้าวกันที่ไหน” “การเดินทางมาทำงานเป็นอย่างไร” สิ่งเหล่านี้คือเบื้องต้นที่ควรจะทำในการสร้างความสัมพันธ์ ในตอนที่เพิ่งเข้าทำงานวันแรก ๆ กับเพื่อนร่วมงาน 2. เสนอความช่วยเหลืออย่างพอดี การให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน นับเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แต่อย่าลืมว่าคุณจะต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จก่อน และถ้ามีเวลาเหลือก็สามารถเสนอตัวเข้าไปช่วยได้ หรือถ้าหากมีใครต้องการขอความช่วยเหลือ และถ้าคุณสามารถช่วยเหลือได้โดยที่ไม่ทำให้งานของตัวเองเสีย ก็ให้รีบตอบรับในทันที เมื่อรับปากแล้วคุณควรพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในจุดนี้จะเปิดโอกาสให้คุณได้รู้จักเพื่อนร่วมงานดีมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับข้อนี้.. อยากให้ข้อคิดกับคุณว่า นิสัยใจคอของคนเรานั้นมากมายหลากหลาย หากคุณพบว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นของคุณร้องขอความช่วยเหลือบ่อย ๆ ในชนิดที่คุณเริ่มเอะใจแล้วว่าคือการเอาเปรียบ ให้คุณรีบถอยออกมา และปฏิเสธอย่างมีมารยาท 3. Team is the best ถ้าคุณต้องทำงานเป็นทีมเป็นหลัก การทำงานเป็นทีมคือการเพิ่มความสนิทชิดเชื้อที่ดีที่สุด เริ่มแรกให้คุณทำตามหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ฟังความเห็นต่าง ๆ ของคนในทีม หรือหากมีไอเดียอะไรดี ๆ คุณก็สามารถนำเสนอได้ หรือช่วยเหลือคนในทีมได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องจำให้ดี คือห้ามก้าวก่ายงานคนอื่นเป็นอันขาด และถ้าหากคุณทำงานแล้วเกิดติดขัดตรงไหน คุณต้องกล้าถาม และพยายามปรับปรุงให้เข้ากับแผนงานที่ได้มีการวางไว้อย่างเคร่งครัด 4. จริงใจต่อเพื่อนร่วมงาน “ความจริงใจ”…

Read More

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิด ทำให้รูปแบบการทำงานนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก หลายคนคงได้ยินคำว่า Work from home หรือ Hybrid work มาพอสมควร สภาพการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้มนุษย์ออฟฟิศมีพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนไปจากเดิม หลายคนรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ทำงานอยู่บ้านกับครอบครัว ทว่าขณะเดียวกันก็อยากยืดหยุ่นการทำงานและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าการบริหารองค์กรด้วยการทำงานรูปแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ Work Life Balance ของผู้คนอีกต่อไป ซึ่งหลายครั้งก็ไม่อาจรั้งพวกเขาให้อยู่กับเราได้นานเช่นกาลก่อน ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่าง The Great Resignation และ Quiet Quitting ในช่วงล่าสุดที่ผ่านมา และคล้ายกับว่านี่เป็น Butterfly Effect ที่มีผลต่อองค์กรในกาลข้างหน้าอย่างมากทีเดียว วันนี้เราจึงอยากแชร์เทรนด์การทำงานปัจจุบันที่สามารถตอบโจทย์ของการบริหารธุรกิจของคุณกันครับ ว่าจะไปในทิศทางไหนได้บ้าง กับ 5 รูปแบบการทำงานที่มาแรงในยุคใหม่ การทำงานยุคใหม่ที่มาแรง เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การทำงานอยู่ภายในออฟฟิศแบบซังกะตายแบบเดิม ๆ อาจเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้คนยุคใหม่เลือกอยู่กับเราน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการบริหารธุรกิจและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการขาดพนักงานที่สามารถรับผิดชอบในงานสำคัญ หรือจะเป็นรับภาระงานอันหนักหน่วงของพนักงานที่ยังเหลืออยู่ในบริษัท สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้พนักงานเกิดอาการ Burn Out และขาดแรงใจจะอยู่กับเราในที่สุด และจากที่เกริ่นกันไปแล้ว.. ทีนี้เรามาดูกันครับว่า มีรูปแบบการทำงานแบบใดบ้างที่จะทำให้การบริหารธุรกิจและองค์กรของเราเป็นเรื่องที่สะดวกยิ่งขึ้น 1. Remote and Hybrid work ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานทางไกลเป็นตัวเลือกลำดับแรกที่ดึงดูดใจพนักงานเก่าหรือคนอื่นที่พบเห็นใบสมัครในบริษัทของเราเป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะความสนใจ โดยรูปแบบการทำงานแบบทางใกล้จะมีหลายรูปแบบย่อย ตามแต่เราจะวางเงื่อนไขรูปแบบดังกล่าว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบย่อย ได้แก่ 2. Visual Team Building Google Meet, Zoom, Microsoft Team เป็นตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กของคุณได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าว การจะฟอร์มทีมสำหรับเรียกประชุมและคุยงานก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว และยิ่งมี VR หรือ Visual Reality เป็นหนึ่งในเครื่องมือจากนวัตกรรมสุดล้ำที่มีความสามารถจำลองภาพให้เสมือนจริงบนโลก Metaverse คุณก็ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเติมเต็มการทำงานขององค์กรได้อีกด้วย 3. Working Wellness หากเปรียบพนักงานในบริษัท เป็นเสมือนทหารที่ต้องผ่านสมรภูมิรบในทุกวัน ก็คงไม่แปลกนัก.. ท่ามกลางกระแสความก้าวล้ำและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แน่นอนว่าต้องมีความวุ่นวายตามมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตอย่างมาก หลายคนมีอาการหวั่นวิตก เครียด หมดไฟ หรือแม้แต่เป็นซึมเศร้า และจะดีไม่น้อยหากบริษัทสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพด้วยการเปิดพื้นที่เปิด การบริการให้การปรึกษา หรือทำการตลาดขึ้นภายในองค์กร ซึ่งเสนอทางแก้ให้พนักงานที่ประสบปัญหาได้อย่างยืดหยุ่นและตรงจุด การทำเบี้ยพักผ่อนนอนหลับของพนักงานในบริษัท Crazy…

Read More

ชีวิตในแต่ละวันต่างก็ต้องฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรัก ที่อาจเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ หรือเป็นเรื่องที่ใหญ่โตจนใจเราเกินจะต้านไหว ในบทความนี้จึงจะมาแนะนำวิธีการ สร้าง “พลังบวก” ให้ใจแข็งแรง พร้อมลุยทุกปัญหา ทุกอุปสรรค สามารถผ่านความทุกข์และผ่านความสุขได้เป็นอย่างดี หากใจคุณยังไม่แข็งแรงพอ มีอาการท้อถอย หรือรู้สึกดาวน์ ๆ แนะนำว่าต้องรีบอ่านกันเลย 6 วิธีเริ่มต้น สร้างพลังบวก ++ ให้ใจแข็งแรงง่าย ๆ ในการสร้างพลังบวกมีวิธีมากมายให้เลือกใช้หรือเลือกทำ แต่สิ่งที่สำคัญคือใจเราต้องพร้อม พร้อมที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองจริง ๆ เพราะถ้าหากใจไม่สู้ ใจมันถอย ใจมันยอมแพ้ไปตั้งแต่แรก เราก็จะไม่สามารถเติมเต็มพลังบวกให้กับตัวเองได้ ดังนั้นเคลียร์ใจตัวเองให้ดี สร้างความตั้งใจ สร้างเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ ถ้าเคลียร์ตรงนี้ได้แล้ว ก็ไปดูกันเลยดีกว่าว่า 6 วิธีที่สามารถสร้างพลังบวกมีอะไรบ้าง 1. ดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอกให้มากขึ้น เริ่มต้นง่าย  ๆ กับการสร้าง “พลังบวก” เพียงแค่หันมาสำรวจตัวเองทั้งภายนอก ว่าได้มีการดูแลหน้าตา ผม และการแต่งตัวว่าเป็นอย่างไร แนะนำให้ปรับเปลี่ยนในลุคที่ตัวเองรู้สึกมั่นใจที่สุดและจะต้องสะอาดสะอ้านด้วย ส่วนภายในจิตใจก็พยายามเสพสิ่งที่ดีต่อใจ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ดูซีรีส์ อ่านหนังสือในแนวให้พลังบวก และงดเว้นการเสพข่าว และเสพโซเชียลจะทำให้สร้างพลังบวกได้ง่ายยิ่งขึ้น 2. พาตัวเองไปเที่ยวให้ธรรมชาติบำบัด พลังบวก การเปลี่ยนบรรยากาศไปยังสถานที่ใหม่ ๆ จะช่วยทำให้เปลี่ยนมุมมองความคิดและบรรยากาศได้เป็นอย่างดี การไปให้ธรรมชาติบำบัดและหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าร่างกายไม่เพียงทำไปเพื่อให้ได้รับอากาศที่สดชื่น แต่ยังสามารถช่วยให้เราผ่อนคลาย และสามารถตกตะกอนความคิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะการพักผ่อนก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะธรรมชาติที่ทำให้หัวใจของเราได้เติมเต็ม เพราะสิ่งเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในเมืองใหญ่ 3. ดีใจทุกครั้งเวลาที่ทำอะไรสำเร็จพร้อมให้รางวัลตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่เวลาทำอะไรสำเร็จ ให้ดีใจทุกครั้งจะชมตัวเองก็ได้ หรือจะร้อง “เย้” ก็ได้ เพราะสิ่งนี้เป็นการ สร้างพลังบวกที่ถือว่าดีมาก เพราะไม่เพียงแต่จะเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองแล้ว ยังสามารถเพิ่มความภาคภูมิใจในการทำสิ่ง ๆ นั้นได้สำเร็จด้วย และแน่นอนว่าถ้าความสำเร็จเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองล่ะ นั่นคือสิ่งที่ตอบแทนในการทำเป้าหมายที่วางไว้สำเร็จนั่นเอง 4. มีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา บนโลกจะมีความคิดอยู่ 3 แบบ คือมองโลกในแง่ดี มองโลกในแง่ร้าย หรือมองโลกตามความจริง ทางที่ดีควรมองโลกตามความจริง และพยายามหาความสุขจากสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นรอบตัวเราก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องเล็ก…

Read More

แม้ว่าสงครามและโรคระบาดจะเริ่มซาลงกว่าแต่ก่อน ทว่ากระแสเทรนด์ดิจิทัลก็ยังคงมาแรงไม่หยุดยั้ง เพียงไม่ทันไรโลกของเราก็เริ่มพลัดเปลี่ยนจาก Digital Marketing (DM) สู่ Metaverse Marketing (MM) เสียแล้ว ซึ่งพลิกโฉมวงการตลาดแบบดั้งเดิมไปตลอดกาล ผ่าน VR หรือ AR เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น คุณก็สามารถข้ามมิติไปสู่อีกจักรวาลหนึ่งได้จากทุกที่ทุกเวลา เสมือนถอดกายทิพย์พร้อมล่องลอยไปได้หนแห่งอย่างอิสระ ไม่ว่าจะในฐานะ ‘ลูกค้า’ ที่สามารถเลือกช้อป เลือกลองเสื้อผ้าและสินค้าอื่นได้จากร้านค้าทั่วทั้งโลก หรือ ‘ผู้สร้าง’ ที่มีอำนาจสร้างสรรค์โลกและร้านค้าแบบเล่นใหญ่ไฟกระพริบ ก็ย่อมสามารถทำได้ง่ายนิดเดียว แถมประหยัดต้นทุนและเวลาไปมากทีเดียว และในครั้งนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเจ้า MM หรือเมตาเวิร์สให้มากขึ้น พร้อมร่วมเปิดประสบการณ์ทำการตลาดแบบใหม่ที่ทั้งสะดวก ประหยัด และคุ้มค่าอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน Metaverse Marketing (MM) คืออะไร หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในยุคที่ผู้คนต่างเริ่มสร้างอวาตาร์ (Avatars) แทนตัวตนในโลกจริง เพื่อเพิ่มอรรถรสและความสะดวกในการใช้ชีวิตอยู่ละก็ การทำ Metaverse Marketing (MM) หรือการตลาดบนเมตาเวิร์ส ก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากเมตาเวิร์สจะหลอมรวม Omni Channel จากทุกมิติมีรวมอยู่ในโลกเสมือนได้แล้ว ยังสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เสริมสร้าง Brand Personality ให้น่าหลงใหลและน่าจดจำอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มตลาด Gen Z และ Millennials ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้หลักที่มีบทบาทสำคัญและน่าจับตาในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ร่วมกับการขยายตัวของขนาดตลาดซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 678.8 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ภายในปี 2030 Newest Customer Impression : ‘ประตูชัย’ แห่งวงการตลาดในโลกเสมือน จากเหตุผลนี้เองจึงทำให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Coca-Cola, adidas, Nike และ Sony เริ่มบุกตลาดด้วยการสร้างแลนด์มาร์คของตัวเองขึ้นมา โดยมีลักษณะเด่นที่ช่วยสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้ผู้มาเยือนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบ 3 มิติที่กวาดตาได้ครบรอบ 360 องศา การแลกเปลี่ยนเงินตราในโลกเสมือน เช่น Bitcoin, NFT เป็นต้น และความสามารถในการสร้างคอนเทนต์และปฏิสัมพันธ์แบบ Conversational Marketing กันแบบเรียลไทม์ และทั้งหมดนี้เองจึงทำให้เหล่านักการตลาดสามารถติดตามข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคและสนองตอบความต้องการได้ตรงจุดกว่าการพูดคุยผ่านแชทบอท…

Read More

เมื่อคุณโตขึ้น คุณต้องเผชิญกับการใช้ชีวิตในสังคมขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย หรือแม้ว่าคุณจะเป็นคนอินโทรเวิร์ต ก็น่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพบปะและต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง สิ่งเหล่านั้น.. อาจก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความสัมพันธ์” และความสัมพันธ์จะเป็นเชื้อไฟเพิ่มความผูกพัน ความสนิทชิดเชื้อ ไปจนเกิดเป็นความรักได้ แต่ความสัมพันธ์ก็ใช่ว่าจะมีโพสิทีฟ คุณคงเคยได้ยินคำว่า “ความสัมพันธ์เป็นพิษ” หรือ toxic relationship มาบ้างใช่ไหม ?.. ความสัมพันธ์แบบท็อกซิกคือหนึ่งในความสัมพันธ์ที่อยู่ในรูปแบบเนกาทีฟ แต่ยังไม่ถึงกับพังทลาย เปรียบเหมือนพิษในร่างกายที่จะค่อย ๆ กัดกินจนสิ่งมีชีวิตจะสูญสลาย ความสัมพันธ์แบบท็อกซิกนี้ ถ้าคุณเจอกับตัวเองและรู้ตัวได้เร็วก็ควรรีบปลีกตัวถอยห่างให้ไว ก่อนพิษร้ายจะทำลาย แต่ถ้าหากไม่รู้ตัวว่าอยู่ในขั้นท็อกซิกหรือยัง ลองอ่านข้อสรุปต่อไปนี้ที่เราย่อยมาให้อ่านง่าย ๆ เพื่อให้คุณสำรวจว่าความสัมพันธ์ที่คุณมีอยู่กับคนรอบข้างตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถ้ามันติดพิษจะได้รักษาทัน ทำความเข้าใจ toxic relationship ความเป็นพิษที่ควรถอย คำว่า toxic relationship สรุปใจความสั้น ๆ ได้ว่าความสัมพันธ์เป็นพิษดังที่กล่าวไปแล้ว ง่าย ๆ คือ.. คุณจะรู้สึกว่าอยู่กับคน ๆ นี้แล้วไม่มีความสุข อยู่แล้วไม่มีความสบายใจ อยู่แล้วไม่ได้เป็นตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทุกคนสามารถเจอได้บ่อยครั้ง แต่ก็จะมีบางรูปแบบที่ควรจะถอยให้ห่างให้ไว หรือเลิกคบไปได้เลยก็ได้ยิ่งดี โดยคนลักษณะท็อกซิกที่คุณควรรู้นั้นมีดังต่อไปนี้ 1. คนที่ทำร้ายร่างกายและทำร้ายจิตใจ ในความสัมพันธ์การทำร้ายฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะด้วยร่างกายหรือทำร้ายด้วยจิตใจ นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และไม่ควรอยู่ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ เพราะจะเป็นการบั่นทอนพลังงาน บั่นทอนความเป็นตัวตนของคุณ อีกทั้งยังสามารถสร้างความทรงจำที่เป็นปมและอาจส่งผลต่ออนาคตได้ ถ้าหากคุณเจอคนลักษณะนี้ต้องรีบเลิกคบด่วน หรือรีบหนีไปให้ไกลได้ก็ยิ่งดี เพราะตัวตนของคุณจะสามารถเปลี่ยนไปจากการโดนสิ่งเหล่านี้ได้ 2. คนที่ใช้อำนาจอยู่เหนือกว่าคนอื่น ในความสัมพันธ์ที่มีการใช้อำนาจที่เหนือกว่า จะทำให้ผู้ที่อยู่ด้วยต้องเกรงกลัว และมันจะลดทอนคุณค่าของตัวคุณเองไปอย่างมาก เพราะคุณคงต้องยอมทุกเรื่องเพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย แต่ความจริงแล้วการที่ต้องทำตามผู้ที่มีอำนาจนับว่าเป็นความสัมพันธ์ toxic ที่สามารถพบได้บ่อยในคู่รักเป็นอย่างมาก ถ้าหากอยู่ไปแล้วไม่มีความสุข ไม่มีคุณค่า แนะนำว่าให้รีบถอยออกมาจะเป็นการดีที่สุด ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนในข้อนี้และยังขาดความมั่นใจในการที่จะถอยออกมา แนะนำว่าให้ลองมาสำรวจความรู้สึกและค้นหาคุณค่าของตัวเองดูก็จะถอยได้ง่ายขึ้น อย่าปล่อยเรื้อรังเพราะมันมีโอกาสที่จะส่งผลให้เกิดความรู้สึกดาวน์กับคุณได้ 3. คนที่เมินเฉยไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น อีกหนึ่งท็อกซิก ที่ไม่กระทบทั้งทางกายและทางใจตรง ๆ และจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้กระทบอะไรเลย.. คุณสำคัญตัวเองมากไป !!! เพราะความสัมพันธ์แบบนี้คุณเป็นเสมือนลมที่พักผ่านเขา ! เจ็บเข้าไปอีก !!! ความเมินเฉยหรือเพิกเฉยต่อคนที่อยู่ด้วยแล้ว นับว่าเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งที่ทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกไม่สำคัญ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือต่อให้ทำดี ๆ…

Read More

จิตวิญญาณที่สมบูรณ์ ย่อมอยู่ในจิตใจที่สมบูรณ์ และร่างกาย.. ที่สมบูรณ์ ประโยคคุ้นหูนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องปกติสำหรับใครหลายคน ที่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ก็พบกับต้นไม้ใบหญ้าที่พลิ้วไสวคล้ายมีชีวิต คอยโอบล้อม.. และโอบกอดตัวเราและชุมชนอย่างเงียบสงบ จนกระทั่งวันหนึ่งที่โลกของเราเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industry Revolution) ประโยคที่ว่านี้ก็ฟังดูผิดแปลกไปจากเดิม ผู้คนต่างต้องปรับตัวให้อยู่รอดในระบบ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยแรงงานมนุษย์ เครื่องจักร ทรัพยากร และเงินตรา ฟังดูแล้วมันย้อนแย้งกับการ sustain วิถีชีวิตมากเหลือเกิน.. จนกระทั้งกิจกรรมเหล่านั้นดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งที่โลกและมวลชีวิตเริ่มส่อแวววิกฤติ และนั่นเองทำให้ผู้คนต่างเริ่มโหยหาชีวิตแบบดั้งเดิม และเล็งเห็นถึงผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลมาถึงชีวิตความเป็นอยู่ของตน ผู้คนจึงหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น และเพื่อสนองตอบและสนับสนุนความต้องการดังกล่าว ธุรกิจหลายแบรนด์จึงหันมาสนใจเทรนด์ทางธุรกิจอย่าง Sustainable business กันมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่พัฒนาสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของตัวเราต่อโลกทั้งใบอีกด้วย ทว่าโซลูชันใดบ้างล่ะที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนนี้ได้อย่างมีศิลปะ วันนี้เราจะพาทุกท่านไขคำตอบผ่านการมองทฤษฎีในมุมกลับของ อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจไปพร้อม ๆ กัน Sustainable Business x Creative Economy : ทางรอดของธุรกิจในโลกยุคใหม่ แม้ว่าเทรนด์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอย่าง Sustainable Business จะเข้ามาตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของผู้คน และรักษ์โลกไปพร้อมกัน ทว่าเราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘Creative Economy’ หรือ ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันในฐานะที่เป็นกิมมิคที่คอยแต่งแต้มสีสันให้เหล่าธุรกิจพร้อมเติบโตได้อย่างมีศิลปะ โดยเฉพาะการต่อยอดความคิดโดยอาศัยต้นทุนทางวัฒนธรรมหรือทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual property) ที่ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน งานฝีมือ ดนตรี ศิลปะการแสดง ภาพพิมพ์ แพทย์แผนไทย สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม และอื่นอีกมากมาย ล้วนแล้วเป็นจุดแข็งที่ยากจะหาประเทศใดเสมอเหมือน’เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันในฐานะที่เป็นกิมมิคที่คอยแต่งแต้มสีสันให้เหล่าธุรกิจพร้อมเติบโตได้อย่างมีศิลปะ โดยเฉพาะการต่อยอดความคิดโดยอาศัยต้นทุนทางวัฒนธรรมหรือทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual property) ที่ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน งานฝีมือ ดนตรี ศิลปะการแสดง ภาพพิมพ์ แพทย์แผนไทย สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม และอื่นอีกมากมาย ล้วนแล้วเป็นจุดแข็งที่ยากจะหาประเทศใดเสมอเหมือน เมื่อทั้งสองความคิดมาบรรจบกัน จึงเกิดการหลอมรวมระหว่าง ฮาร์ดเพาเวอร์ และ ซอฟต์เพาเวอร์ เป็นโซลูชันที่ให้ทั้งศิลปะและความยั่งยืนแบบครบสูตรในหนึ่งเดียว อันสอดคล้องไปด้วยกันกับ SDGs (Sustainable Development Goal) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน The Reverse of…

Read More