Author: athena_abradmin
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด.. กรุงโรมก็ไม่ได้สร้างด้วยคนเพียงคนเดียวฉันนั้น แน่นอนว่าเหนือสิ่งอื่นใดหากคุณต้องการทำงานสเกลใหญ่ให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากสกิลของคนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดหนีไม่พ้นการสร้าง “ทีมเวิร์ค” ที่ดี เพื่อที่จะสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งประโยชน์ทางตรงที่คุณเห็นได้ชัดของการมีทีมเวิร์คที่ดี นั่นคือคุณภาพของงาน ปริมาณ และเวลาที่ดีขึ้น ส่วนประโยชน์ทางอ้อมคือองค์กรได้พัฒนาองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว แต่การสร้างทีมเวิร์คให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีได้นั้น.. ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมเวิร์คที่ทำงานให้ออกมาดีได้นั้นไม่ใช่ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ หากคุณเป็นหัวหน้าและมีบทบาทในการจัดการทรัพยากรบุคคล สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องมีทักษะที่ดีในการจัดสรรคนให้ลงตัว สกิลของแต่ละคนต้องสอดคล้องเหมาะสมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง จำนวนคนต่อทีมต้องพอดีเหมาะสมกับปริมาณงาน ไม่ใช่ทำงานร่วมกันแล้วกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่แม้ว่าการจัดการกับคนคือเรื่องน่าปวดกหัวที่สุดของทุกกิจกรรมในองค์กร ซึ่งยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางทำให้ดีได้ เอาล่ะ!.. งั้นต่อไปนี้คุณจะได้รู้ว่าการสร้าง ทีมเวิร์ค ที่ดีมีแนวคิดอย่างไร เริ่มจากคิดก่อนว่า.. ทีมเวิร์คที่ดีต้องมีกี่คน ? จากที่บอกไปว่า.. จำนวนคนต่อทีมต้องพอดีเหมาะสมกับปริมาณงาน ต้องไม่หลวมแต่ก็ต้องไม่บีบรัดจนเกินไป การที่จะสร้าง ทีมเวิร์ค ขึ้นมา ก่อนอื่นขอแนะนำให้คุณนิยามสเกลของงานก่อนว่ามีขนาดระดับไหน เล็ก (S) กลาง (M) หรือ ใหญ่ (L) หากงานของคุณมีปริมาณมาก มีความละเอียดและซับซ้อน อาจมีระดับใหญ่มาก (XL) ด้วยก็ได้ ซึ่งใช้แนวคิดเดียวกัน เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างทีมที่ดีขึ้นมา มีจำนวนคนต่อทีมเหมาะสมจนสามารถเพิ่มศักยภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่ Small Sizing งานขนาดเล็ก จำนวนคนที่คุณควรจัดให้เหมาะสมต่อทีมคือประมาณ 4 – 5 คน รวมหัวหน้าทีม (Leader) โดยคนกลุ่มนี้ควรมีหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกัน เพื่อที่ว่าทุกคนจะสามารถทำงานตามหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยมีหัวหน้าทีมคอยแนะนำ ให้คำปรึกษา ช่วยแก้ปัญหา และผสานงานแต่ละส่วนเพื่อให้ผลงานออกมาเสร็จสมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมาย Medium Sizing งานขนาดกลาง แนะนำว่าจำนวนที่เหมาะสมคือ 6 – 7 คน โดยคุณควรกำหนดให้ทีมมีทั้งหัวหน้าทีมและรองฯ ส่วนสมาชิกที่เหลือควรมีหน้าที่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าหากตำแหน่งหน้าที่ใดไม่สามารถมีแค่คนเดียวได้ คุณอาจเพิ่มให้มีสองคนที่ทำหน้าที่เดียวกันก็ถือว่าเป็นจำนวนกำลังดี แต่ไม่ควรมีมากกว่านี้แล้ว เพราะจะเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับงานในหน้าที่นั้น หากเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องตัดสินใจ และจะส่งผลทำให้เกิดการดำเนินการที่ล่าช้าขึ้นทันที Large Sizing งานขนาดใหญ่สเกลระดับ L หรือ XL ขึ้นไปก็สามารถใช้แนวคิดนี้ได้ งานระดับใหญ่นี้มีความซับซ้อนและหลายขั้นตอน ดังนั้นเพื่อให้งานสำเร็จ คุณจำเป็นต้องมีหลาย ๆ ฝ่ายที่ทำหน้าที่ที่แตกต่างกันเป็นจำนวนมาก คุณต้องแตกทีมย่อย ๆ ตามแต่ละฝ่ายขึ้นมา โดยอาจจะมีตั้งแต่…
การพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มความสามารถในด้านต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตและการทำงาน เพราะเป็นหนทางสุจริตเพียงหนทางเดียวที่จะนำพาตัวคุณเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จหรือมีคุณภาพชีวิตดีกว่าที่เป็นมาได้ เหนือสิ่งอื่นใดนั้น คุณควรจะต้องเริ่มจากการค้นหา “วิธี” เพื่อ “พัฒนาตนเอง” ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตัวคุณเสียก่อน และตามท๊อปปิคตัวหนาของเราในวันนี้เลยที่ต้องการเน้นย้ำว่า.. การพัฒนาตนเองที่ได้ผลดีนั้น คุณไม่จำเป็นต้องแข่งกับใครเพื่อที่จะเหนือกว่า หรือแม้แต่การแข่งขันกับตัวเองในแบบฉบับเมื่อวาน ก็ขอแนะนำว่าไม่ควรเช่นกัน !!! คำคมติดหูที่คุณมักได้ยินบ่อย ๆ เช่นว่า “คุณคนนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน..” ใด ๆ เหล่านั้น..ขอให้ลืมมันซะ อย่าไปกดดันตัวเอง เพราะชีวิตของแต่ละคนมีขึ้นและลงตลอดเวลา ดังนั้นการตั้งมายเซ็ตแบบนั้นจะส่งผลต่อจิตใจในเชิงลบได้ เราไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันกับใคร ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเราเองกับใคร คนคนเดียวที่เราควรจะแข่งขันด้วยก็คือตัวเราเองในวันนี้ กำหนดเป้าหมายให้แน่ชัด เพื่อให้การ “พัฒนาตนเอง” มีประสิทธิภาพ ก่อนจะเข้าสู่วิธี “พัฒนาตัวเอง” สิ่งสำคัญแน่ชัดที่สุด คือการ “กำหนดเป้าหมาย” ให้ชัดเจน และควรจะกำหนด 1 เป้าหมายหลัก และเป็นประโยคสั้น ๆ เพื่อที่คุณจะสามารถมุ่งไปสู่เป้าหมายได้อย่างชัดเจน ไม่วอกแวก ยกตัวอย่างเช่น จากตัวอย่างจะเห็นแล้วว่าเป้าหมายนั้นสามารถเป็นได้หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างอาจจะกำหนดระยะเวลาในการทำได้ แต่บางอย่างจะต้องทำสม่ำเสมอและไม่ควรหยุดเด็ดขาด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณเลยว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างไร และเมื่อเป้าหมายสำเร็จจะขยายเพิ่มเติมหรือไม่ อันนี้ก็สุดแล้วแต่คุณเลย ทริคการกำหนดเป้าหมายอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลดีเยี่ยม ไปดูได้ที่.. 6 วิธี พัฒนาตนเอง แบบ “แข่งกับตัวเอง” มั่นคงและประสบความสำเร็จ รแนะนำ 6 วิธีพัฒนาตัวเอง แบบมั่นคง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หรือยัดเยียดให้ประสบความสำเร็จได้ไว ๆ ขอเพียงแค่คุณตั้งมั่นและปักหมุดเป้าหมายที่ได้เลือกให้ดี และพยายามทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องกดดันตัวเอง เพราะการพัฒนาตัวเองควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คนรอบข้างดีขึ้น ไม่ใช่พัฒนาตัวเองเพื่อให้ความสุขลดน้อยลง แล้วคุณจะรู้ว่า เพียงแค่คุณคนเดียวก็สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสได้ ! 1. เชื่อมั่นว่าตนเองทำได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สิ่งแรกที่ควรหันมาโฟกัสก็คือสภาพจิตใจ อะไรที่เป็นด้านลบ ขอให้เคลียร์ออกจากใจให้หมด และเปลี่ยนความคิดเพิ่มพลังบวกโดยการคิดว่า “เชื่อมั่นว่าตนเองทำได้” เพราะหากตรงนี้ไม่มีการที่จะอดทน ฝึกฝน เพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นยากสุด ๆ ถ้าหากใครมีปัญหาตรงนี้อาจจะต้องลุยหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้ไม่เชื่อมั่น และค่อย ๆ แก้ไปทีละข้อ 2. มี Passion กับสิ่งที่ได้ทำ…
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพอเรา “โตขึ้น” ถึงมีอะไรติดขัดตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน เรื่องการเงิน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว ที่ดูยังไง ๆ ก็เหมือนวนลูป และจบเหตุการณ์เหล่านั้นแบบเดิม ๆ หรือไม่ก็ผิดหวัง ช้ำใจอยู่บ่อย ๆ จนคิดเสียว่าคุณไม่เคยมีโชคทางด้านนี้หรือเปล่า และคุณรู้หรือไม่ ?!.. สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับคุณในทุก ๆ ช่วงชีวิต อาจเกิดจาก ทรอม่า หรือ บาดแผลทางใจ ตั้งแต่ในวัยเด็กที่ส่งผลมายังปัจจุบันก็เป็นได้ หากคุณสงสัยว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในนั้น.. งั้นเรามาลองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อย้อนอดีตในวัยเด็กและทำความเข้าใจกับมันกันดีกว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวในวัยเด็ก ก่อนอื่นทุกคนต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทรอม่า หรือ บาดแผลทางใจ มักจะเกิดขึ้นตอนวัยเด็กที่ผ่านประสบการณ์หรือเหตุการณ์อันเลวร้ายและกระทบกระทั่งจิตใจจนเกิด “แผลที่อยู่ในใจ” โดยเหตุการณ์ที่ว่านั้นอาจเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็ยังคงติดตาหรือติดในใจเสมอ หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นซ้ำ ๆ กลายเป็นปมปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ออกไปได้ สิ่งเหล่านี้เด็กส่วนใหญ่จะไม่รู้ ว่าเหตุการณ์ที่ได้พบ สิ่งที่ได้รับมาดีหรือไม่ดี หรือส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างไร โดยบาดแผลที่ว่าสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้ ทำไม ทรอม่า ส่งผลต่อการใช้ชีวิตตอนโต ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่าบาดแผลในวัยเด็ก ทำไมส่งผลต่อชีวิตตอนโต ถ้าอิงจาก “ทฤษฎีลำดับขั้นของพัฒนาการ” ตามหลัก ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ได้อธิบายว่าช่วงอายุ 0 – 13 ปี นับเป็นช่วงสำคัญในการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตในทิศทางที่ดีหรือทิศทางที่ไม่ดีขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงอายุที่เด็กต้องการสิ่งใด เพราะในส่วนนี้จะเป็นช่วงที่เด็กได้เรียนรู้อะไรมากที่สุด ทั้งผ่านความคิด ผ่านอารมณ์ ผ่านพฤติกรรม จากคนที่เลี้ยงดูมาและการได้ในสิ่งที่ควรจะได้ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะส่งผลและแสดงออกมาในเชิงจิตสำนึก รู้ตัวว่ามีบาดแผลทางใจเลยเลือกแสดงพฤติกรรมผิด ๆ ไม่ผ่านการแก้ไขในทางที่ถูก และจิตใต้สำนึก สิ่งที่นึกไม่ออก จำไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วยังซ่อนอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกและเลือกทำพฤติกรรมในแบบที่ไม่รู้ตัว ลบปมปัญหา ทรอม่า บาดแผลทางใจ ในวัยเด็กได้อย่างไร การลบทรอม่าหรือปมปัญหาบาดแผลทางใจในวัยเด็ก เพื่อแก้ไขชีวิตปัจจุบันในตอนโตนับเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาทางแก้ไข เพื่อที่ว่าจะสามารถมีความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมไปในทางที่ดี สามารถใช้ชีวิตกับผู้คนได้อย่างสงบสุข และยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ๆ ในแต่ละด้านได้อย่างเหมาะสม โดยวิธีการแก้ไขบาดผลในวัยเด็กสามารถทำได้ดังนี้ Key Takeaways เมื่อได้รู้เกี่ยวกับ บาดแผลทางใจ ในวัยเด็ก หากบางสิ่งสามารถย้อนวันวานกลับไปแก้ปมปัญหานั้น ๆ ได้…
ปัจจัยนึงที่สำคัญของคนเราไม่แพ้อาหารและยา นั่นคือ “ความรัก” บนพื้นฐานของคนสองคน ความรู้สึกดีต่อกัน ความสุข ชุ่มฉ่ำ เบิกบานใจ ที่มาในรูปแบบความสัมพันธ์ของ “แฟน” หรือ “คู่ชีวิต” แต่ความสุขนั้นไม่ได้ได้มาง่าย ๆ เพราะการจะมาเป็นคนรักกันจริง ๆ จะต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ซึ่งมันไม่ได้มีแค่ความสุขเท่านั้น ยังมีความทุกข์ที่สลับไปมาให้ทุกคู่ได้ลิ้มรสสัมผัส บางคู่เมื่อประสบปัญหาก็อาจถอยหนี แต่บางคู่พยายามฟันฝ่าเพื่อรักษาความรักนั้นให้คงอยู่ ด้วยความยึดมั่นในศรัทธาเพื่อหวังเห็นแสงสว่างของอุโมงค์ปลายทาง อย่างไรก็ตามความรักก็ยังคงสวยงามเสมอ.. และในบทความนี้เราจะมาขยายความกันว่า แนวทางเพื่อไปถึงแสงสว่างที่ปลายทางตามแบบฉบับของคนทั่วไปนั้นเขาทำกันอย่างไร เพื่อที่ทุกช่วงวัยของเราจะได้เติมเต็มกันและกัน เริ่มต้นจากป๊อปปี้เลิฟ เข้าสู่รักวัยใส ไปจนก้าวข้ามอุปสรรคและเป็นรักที่มั่นคงตราบสิ้นลมหายใจของกันและกัน หันหน้ามองแฟนของคุณและเริ่มต้นสร้างนิยามของ “ความรัก” ของกันและกัน เชื่อเลยว่าแต่ละคู่ที่ตัดสินใจเป็นแฟนกัน จะมีเหตุผลของการคบหาที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ในทุกคู่ควรจะ “นิยามความรัก” หรือ “นิยามความสัมพันธ์” ของคู่ตัวเองว่าเป็นอย่างไรเสียก่อน คู่ไหนยังไม่เคยคิดเรื่องนึ้ ให้ลองหันหน้าหาคนรักของคุณและพูดคุยกันดู.. เพื่อที่จะได้รู้ว่าอะไรคือ “เป้าหมายของความรัก” ที่คุณทั้งสองจะเดินหน้าไปด้วยกัน เหมือนกับการปักหมุดบนแผนที่เพื่อจะไปถึงจุดหมายปลายทาง.. ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคู่รักมักนิยาความรักไว้ประมาณนี้ หากนิยามหรือเป้าหมายของคุณทั้งสองไม่ตรงกัน ขอให้คุยกันและปรับจูนกันอย่างมีเหตุและผล ไม่เอาแต่ใจ นี่แหละปัญหาแรกที่ความรักมันท้าทายคุณให้ก้าวข้ามก่อนไปเจอแสงสว่างที่ปลายทาง เรียนรู้ “ความรัก” แต่ละช่วงวัย เพื่อสานสัมพันธ์ให้ยั่งยืน ทีนี้เมื่อได้รู้ว่า “นิยามความรัก” ของแต่คู่ของคุณเป็นอย่างไรแล้ว ก็อยากให้ยึดมั่นตรงนั้นไปเรื่อย ๆ จะเป็นการช่วยประคองความรักให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ และถ้าหากอยากจะเปลี่ยนนิยามความรักก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ในเนื้อหาส่วนนี้ก็จะขอพาคุณไปทำความเข้าใจ “ความรักแต่ละช่วงวัย” มีลักษณะอย่างไร และจะเปลี่ยนผ่านไปช่วงต่อไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความรักให้ยืนยาว มัธยมฟีลป๊อปปี้เลิฟ ช่วงนี้นับว่าใคร ๆ ต่างก็ต้องมีป็อปปี้เลิฟที่อาจจะแอบชอบใครสักคน โดยพื้นฐานส่วนใหญ่ในช่วงวัยนี้ของการมีแฟนก็จะกรี๊ดกราดกันที่หน้าตาหรือรูปลักษณ์ภายนอก หรือหากใครมีความสามารถด้านดนตรีหรือกีฬาและมีโอกาสได้โชว์อ๊อฟที่โรงเรียนแล้วละก็ สิ่งนี้ดึงดูดให้เพศตรงข้ามพร้อมมอบความรักให้ได้ แต่ที่พบบ่อย ๆ ในวัยนี้คือความสัมพันธ์กุ๊กกิ๊กมักเริ่มจากการเป็นเพื่อน แต่อยู่ ๆ ก็ใจเต้นตึกตักคิดกันเกินเพื่อนซะงั้น คบกันได้ไม่นานพอเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัยก็มักจะเลิกลากัน ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปเจอสังคมใหม่ แต่ถ้าไม่อยากเลิกกันก็ต้องหมั่นเติมความหวาน เทียวไปเทียวมาระหว่างมหาวิทยาลัยของทั้งคู่ คุณอาจเข้าไปอยู่ในสังคมของเขาบ้าง หรือชวนเขามาเข้าสังคมของคุณบ้าง ช่วงนี้ต้องมั่นคงไม่หลงแสงสี ก็จะทำให้สามารถรักษาความรักไว้ได้ วัยมหาลัยกับการเปิดโลก หากใครมีความรักช่วงมหาลัยต้องบอกว่าเป็นวัยแห่งการผจญภัยที่เหมือนได้รับอิสระออกโลกกว้าง ดังนั้นการอยากจะมีใครสักคนในช่วงนี้นี่ถือว่าเป็นช่วงกำไรที่เราจะเปิดใจให้กับใครได้มากมาย และก็สามารถปฏิเสธใครได้มากมายเช่นกัน และหากได้คบกันเป็นแฟนช่วงแรก ๆ ในวัยนี้ก็มักหวานหอม บางคู่อาจจะได้มาอยู่ห้องหอร่วมกัน ใช้ชีวิตกินนอนร่วมกัน แน่นอนว่าปัญหาก็จะตามมา ถ้าปรับตัวในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ก็จะสามารถผ่านช่วงเวลานี้ได้ วัยทำงานเริ่มต้นสิ่งใหม่…
แนะนำแอปพลิเคชัน Digital Signature ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ทุกธุรกิจ
หากได้ยินคำถามว่า.. “ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) และความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล สำคัญกับคุณหรือไม่ ?” ในอดีตคุณอาจเมินเฉยกับคำถามนี้ แต่ทุกวันนี้เชื่อว่านี่เป็นคำถามที่ไม่ไกลตัวพวกเราอีกต่อไปแล้ว.. เราทุกคนน่าจะทราบดีถึงผลกระทบหากข้อมูลทางธุรกรรมของเรารั้วไหลบนอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่ข้อมูลส่วนตัวที่เราถูกคุกคามจากมิจฉาชีพด้วยวิธีต่าง ๆ นานา ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้จึงกระทบกับงานระดับองค์กรแน่นอน เพราะเมื่อสเกลใหญ่ขึ้นข้อมูลก็จะต้องใหญ่ตาม ทั้งในเอกสารและในระบบ หลายองค์กรประสบปัญหาหนักใจที่ต้องเสียเวลาทำธุรการเซ็นเอกสารสำคัญ และยังต้องมาระวังภัยคุกคามจากโลกไซเบอร์ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งกระทบต่อความลับทางธุรกิจ สเกลข้อมูลในระดับองค์กรจึงยิ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง จะดีกว่าหรือไม่ ?.. หากปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายและไขข้อกังวลใจ พร้อมเพิ่มสภาพคล่องเวลาเซ็นเอกสารให้ได้รับอนุมัติไวทันใจจนผ่านฉลุย ท๊อปอัพด้วยความปลอดภัยสบายใจด้านความน่าเชื่อถือบนโลกออนไลน์ ที่มาในรูปแบบซอฟต์แวร์สำหรับเดินเรื่องเอกสารผ่านการใช้ระบบ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ‘Digital Signature’ หรือชื่อที่เราคุ้นหูอย่าง ‘E-Signature’ ที่กำลังมาแรงอยู่นั่นเอง ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ Digital Signature คืออะไร Digital Signature หรือการเซ็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ทุกวันนี้เรียกได้ว่าได้รับความนิยมสูงสุด หากยังไม่โดนเทคโนโลยีอย่างบล๊อคเชนมาปาดแซงหน้าเสียก่อน แต่คงยังไม่ใช่เวลาอันใกล้นี้ ดังนั้นจึงตะโกนดัง ๆ ได้เลยว่า ระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันถือว่ามีประสิทธิภาพสูง แม่นยำ ถูกต้องตามกฎหมาย สะดวกและปลอดภัย มีคนนิยมใช้แพร่หลายทั่วโลก ทั้งองค์กรเล็กและใหญ่ รวมไปถึงกลุ่มหน่วยงานรัฐวิสาหกิจมากมายในประเทศไทย อย่างกรมศุลกากรที่เชี่ยวชาญในการใช้งานระบบพวกนี้มาอย่างยาวนานเพื่อดำเนินการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งลายเซ็นดิจิทัลสามารถแทนที่ลายมือลงนามบนหน้ากระดาษที่เห็นกันเกลื่อนเมืองเมื่อกาลก่อน ด้วยเหตุผลนี้เอง ย่อมช่วยเหล่าองค์กรทำธุรกรรมได้รวดเร็ว ทันใจ ประหยัดเวลาเดินเอกสารให้มากความ ประหยัดงบการจัดการและกำจัดเอกสารกระดาษต่อปีได้อย่างมหาศาลทีเดียว เรียกได้ว่าประหยัดไวทันใจและรักษ์โลกครบจบทีเดียว แอปพลิเคชัน Digital Signature ยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ เพื่อให้ธุรกรรมของคุณเสร็จตามเวลา หรือช่วยให้ธุรกิจของคุณปิดการขายได้สำเร็จตามเป้า (พบว่าบางรายเมื่อมีระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วย ก็สามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่าเดิมถึง 75% กันเลยทีเดียว) 3 ซอฟต์แวร์แนะนำ ทั้งลื่นไหลและสะดวก HPE Cohesity HPE Cohesity จัดเป็นซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่ตอบโจทย์อย่างมากสำหรับองค์กรที่ต้องการ Data Protection หรือระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล ทั้งจาก On-premise และ Cloud ที่มีลักษณะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองส่วนบุคคลอย่าง ‘PDPA’ และข้อมูลลับเฉพาะภายในองค์กร ซึ่งมีฟังก์ชั่นจัดทำสำเนาข้อมูลขึ้นอีกชุด (Replication) เพื่อใช้สำรองข้อมูล และ Archiving เพื่อรองรับรูปแบบการจู่โจมที่หลากหลายในปัจจุบัน จากเหล่าแฮกเกอร์มือฉมัง Key Functions Sophos…
ทุกคนมีเวลาใน 1 วันเท่ากับ 24 ชั่วโมง แต่ว่าชีวิตและหน้าที่ของเรานั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่ไม่สามารถจัดแจงเวลาของตัวเองได้ ก็อยากจะขอแนะนำวิธี Work Life Balance ที่จะมาช่วยจัดการชีวิตที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ให้กลับมาเป็นระเบียบ และสามารถมีเวลาว่างเพียงพอให้คุณได้ไปทำกิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบ งานอดิเรกอื่น ๆ หรือจะอยู่กับครอบครัวและคนรอบข้างก็ได้เช่นเดียวกัน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนบ้าง.. เลือกใช้ให้เหมาะปรับใช้ให้เเมชกับคุณ ! รวมวิธีเด็ด Work Life Balance ปรับให้เข้ากับสไตล์คุณ ก่อนอื่นต้องบอกว่าการ Work Life Balance ของแต่ละคนจะไม่มีทางเหมือนกัน แต่จะมีวิธีการหรือสูตรสำเร็จที่คล้ายกัน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคุณได้ ซึ่งสูตรที่จะแนะนำต่อไปนี้นับว่าเป็นวิธีที่นิยมที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ และแต่ละสูตรก็มีประสิทธิภาพมาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือจำเป็นต้องเริ่มที่การ ปรับ mindset หรือกรอบความคิดของตัวเองให้ได้ก่อน จำไว้ว่า.. มิติของชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่เรื่องงาน แต่ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าหากปรับ mindset ไม่ได้ ต่อให้สูตรใด ๆ วิเศษแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จอย่างแน่นอน 1. สูตรแบ่งเวลา 8 + 8 + 8 = 24 ชั่วโมง สูตรแรกนับว่าเป็นนาฬิกาชีวิตที่ทุกคนพอจะรู้จักกันอยู่แล้ว นั่นก็คือ นอนหลับเป็นเวลา 8 ชั่วโมง , ทำงาน 8 ชั่วโมง และทำกิจกรรมอื่น ๆ อีก 8 ชั่วโมง วิธีนี้ถือเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วของการทำ Work Life Balance แต่จะต้องกำหนดเวลาในแต่ละส่วนให้ชัดเจนอย่างดี ไม่มีการผ่อนผันหรือผ่อนปรนใด ๆ ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น 2. สูตร Eisenhower Matrix สูตรนี้นับว่าเป็นสูตรที่ใครหลายคนเลือกใช้ และสามารถการันตีได้เลยว่าชีวิตของคุณจะมีระเบียบ มีวินัย และสามารถไล่ลำดับความสำคัญได้เป็นอย่างดี สูตร Eisenhower Matrix คุณจะต้องเตรียมเครื่องมือหรือกระดาษมาแบ่งออกเป็นตาราง 2×2 หรือ 4 ช่อง ที่ประกอบไปด้วยคำคุณศัพท์ของงาน คือ…
เคยสงสัยกันไหมว่า.. ทำไมรถเข็นไอศกรีมถึงใช้เสียงกระดิ่งดังกรุ่งกริ่งทุกครั้งเมื่อต้องตามบ้านใครต่อใครในยามเย็น และเคยรู้สึกประหลาดใจบ้างไหมว่าทำไมเสียงเพลงในร้านอาหารหรือคาเฟ่ถึงมีอำนาจดึงดูดให้ลูกค้านั่งอยู่กับที่แม้จะกินอาหารเสร็จแล้วก็ตาม คนออกกำลังกายในฟิตเนสเสมือนถูกแรงกระตุ้นจากเสียงเพลงเร้าใจให้มีพลัง หรือหากคุณเป็นหนึ่งในหลายแสนล้านคนบนโลกที่พรั้งเผลอด่วนซื้อของโดยไม่สนราคาแสนแพงของสินค้าชิ้นนั้น บางทีคุณอาจตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดของเสียงเพลงเสียแล้ว Music Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่หลายธุรกิจหยิบใช้แล้วได้ผลมานาน กระทั่งโซเชียลมีเดียเข้ามาในชีวิตเราแบบเต็มตัว เมื่อนั้นเองที่จังหวะสะกดใจคนฟังเริ่มเปลี่ยนไป.. Music Marketing หากแค่เพียงการใช้เมโลดี้อันไพเราะร่วมคำร้องที่กังวาลก้องร้าน ไม่อาจช่วยให้คุณเข้าใจวิธีใช้มันได้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่าหากคิดจะใช้เสียงเพลง เราก็ต้องฟังเสียงของความเงียบให้เป็น แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น หลายคนคงพิศวงกับเจ้ากลยุทธ์เสียงเพลงนี้พอสมควร งั้นเรามารู้จักและเจาะลึกถึงเจ้าสิ่งนี้ไปพร้อมกัน Music Marketing คืออะไร Music Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ ‘เสียงเพลง’ เป็นเครื่องมือหลักสำหรับดึงดูด จูงใจและเสริมแรงพฤติกรรมผู้บริโภคให้เป็นไปตามที่ธุรกิจนั้นต้องการ ซึ่งตามกระบวนการรับรู้เสียงเพลงของสมองมนุษย์ เพลงมีบทบาทสำคัญคอยกระตุ้นสมองส่วนระบบเสริมแรงและให้รางวัล (Reward System) ซึ่งมีสารสื่อประสาทแห่งความสุขที่ชื่อ ‘โดปามีน’ (Dopamine) เป็นตัวเดินหลักของเกม แน่นอนว่าด่านแรกเมื่อคนได้ยินเพลงเพราะจะรู้สึกเป็นสุขสบายกาย ขณะเดียวกันก็เป็นตัวเสริมแรง (Reinforcement) กระตุ้นความอยากให้ผู้นั้นทำพฤติกรรมบางอย่างเพื่อเพิ่มความสุขให้พุ่งทะยานสูงปรี๊ดถึงระดับที่เรียกว่า Euphoria (เดี๋ยวเราจะพูดถึง ตัวเสริมแรง กันต่อในหัวข้อถัดไป) โดยกลยุทธ์นี้มีจุดมุ่งหมายด้านการตลาดดังต่อไปนี้ Euphoria เป็นภาวะความสุขสมหวังจนรู้สึกโล่งอกเบาหวิวและลืมตัวไปชั่วขณะ ซึ่งคล้ายกับอาการคนเคลิบเคลิ้มเวลาเสพสารเสพติด ภะเว้อภวังค์ในรัก หรือการถึงจุดไคล์แม็กซ์ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ที่หลายคนเรียกติดปากว่า ‘ฟิน’ 1. Branding ใช้เป็นตัวร่วม (Factor) สำหรับสร้างเสริมตัวตนของแบรนด์ให้เด่นชัดขึ้น มีสไตล์เอกลักษณ์ น่าดึงดูดให้เข้ามาใช้บริการทั้งนี้ข้อมูลสำรวจจาก Brand Channel และ HUI Research พบว่ากว่า 96% ของแบรนด์ที่ใช้เพลงที่เข้ากับสไตล์ของแบรนด์ช่วยให้ผู้คนจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น รวมถึงผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 9% ตัวอย่างที่ทุกคนคุ้นเคยดีอย่างคือ รถไอศกรีมวอลกับเสียงเพลงที่ได้ยินทุกครั้งก็นึกถึงความสุขและความสดชื่น 2. Promoting ใช้เพลงเป็นตัวเร่ง (Catalyst) พฤติกรรมลูกค้าให้ซื้อหรือใช้บริการในร้านมากขึ้น จะพบมากในกรณีของร้านอาหารและคาเฟ่ คุณคงทราบดีหากเคยเข้าร้านสตาร์บัคและมักจะได้ยินเพลย์ลิสต์ที่ให้ความรู้สึกชิลและผ่อนคลาย ชวนให้นั่งตัวลอยอยู่ในร้านได้ทั้งวัน 3. Loyalizing สร้างความภักดีหรือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและคงทนระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า ลูกค้าจะภูมิใจและรู้สึกพิเศษกว่าใครในทุก ๆ ครั้งเมื่อเข้ามาในร้านหรือใช้บริการ เช่น เสียงเพลงบรรเลงคลอเบา ๆ ในสปา ให้คุณรู้สึกพิเศษกว่าใครเมื่อเข้าใช้บริการนวดของแบรนด์ดังอย่างปันปุริ Don’t Forget !!! อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรคิดก่อนเลือกเพลงเพื่อดันการตลาด ก็คือเรื่องของบุคลิกภาพแบรนด์ (Brand Personality) หากเราเข้าใจตัวเองว่าเราคือใคร…
ยุคนี้นับว่าเป็นยุคแห่งการทำ Content Marketing เพื่อให้เกิดไวรัล ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร บทความ วลีเด็ด คำคม แบนเนอร์ คลิปวีดีโอ ที่มีเป้าหมายเพื่อให้เป็นที่ถูกตาต้องใจของผู้ชม เน้นสร้างความโด่งดัง สร้างชื่อเสียง รวมถึงการสร้างยอดขาย โดยใช้เวลาในการปั้นคอนเทนต์ไม่นาน เพราะจะต้องรวดเร็ว ฉับไว และทันกระแสที่กำลังบูมในขณะนั้นได้ โดยการสร้างสรรค์คอนเทนต์มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยทำคอนเทนต์ปัง ๆ โดยคุณสามารถเริ่มได้จากสิ่งนี้.. วิธีทำ Content ให้ปังโลกไม่ลืม ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ในการทำ Content Marketing ให้ดีนั้นจะมีวิธีการหรือเครื่องมือช่วยในการสร้างสรรค์มากมาย แต่การสร้างสรรค์นั้นก็มีวิธีการหลายอย่างที่จะช่วยทำให้คอนเทนต์ของคุณประสบความสำเร็จ โดยต้องเริ่มจากฐานของคอนเทนต์จะต้องแน่นก่อน ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งคอนเทนต์ของคุณหรือแบรนด์ของคุณจะสามารถอยู่บนยอดพีระมิดได้ โดยวิธีการที่ว่านั้นมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. ทำให้ใคร เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร ก่อนอื่นในการทำ Content Marketing จำเป็นอย่างมากที่จะต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะเสพสื่อของคุณนั้นเป็นแบบใด ยิ่งสามารถเจาะลึกได้มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของคอนเทนต์ก็สามารถเพิ่มได้มากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ทำร้านอาหารอีสาน ในเบื้องต้นจะต้องรู้ เพศ ช่วงวัย รายได้ของกลุ่มเป้าหมาย ทำเลที่ตั้ง ราคาอาหาร รวมไปถึง Mood & Tone ของร้านว่ามีลักษณะแบบไหน ซึ่งขั้นตอนนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทำพร้อม ๆ กับคาแรกเตอร์แบรนด์ หรือ Brand Archetypes ที่คุณอาจวางกำหนดเอาไว้ 2. ทำไปทำไม วัตถุประสงค์ของการทำคอนเทนต์ ส่วนนี้นับเป็นสิ่งสำคัญในการทำ Content Marketing จำเป็นต้องรู้ โดยวัตถุประสงค์ในการทำอาจเป็นการสื่อสารทางตรง หรือสื่อสารทางอ้อมก็ได้ โดยวัตถุประสงค์ยกตัวอย่างเช่น ทำโปรโมชั่นขายเพื่อเคลียร์ของเก่าออก , การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ด้วยการช่วยเหลือสังคม , การทำละครสั้นลง TikTok เพื่อ Tie In สินค้า , อยากให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์มากยิ่งขึ้น , อยากทำคอนเทนต์นำเทรนด์เพื่อให้เกิดไวรัล มีการติดตาม และยอดแชร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรกำหนดให้ชัดเจน โดยจะต้องลือกเพียงจุดประสงค์เดียว เพื่อให้การสื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน 3. ทำแบบไหน (ที่ถนัด) เลือกประเภทของคอนเทนต์ที่จะทำ ในส่วนนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก ว่าสิ่งที่ต้องการอยากจะเสนอเป็นอย่างไร โดยยุคนี้จะนิยมการทำ Digital Marketing ที่จะมีลักษณะสื่อมากมายที่ทุกคนสามารถเลือกใช้ได้อย่างเต็มที่…
การมีชีวิตคู่กับใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก แต่การมี “คู่ชีวิต” ที่รวมหัวจมท้ายไปด้วยกันเป็นอะไรที่ยากกว่า และการที่จะเป็นเช่นนั้น มันต้องเกิดขึ้นจากคนสองคน ที่ต้องทำความเข้าใจกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน และมีหัวใจให้กันและกัน นับเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่จะหาคน ๆ นั้นเจอ บางครั้งก็ทำให้ชีวิตถึงกับเป๋ไปอีกทาง แต่ถ้าหากมีคู่ที่ดีมาก ๆ ก็นับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง ที่คุณอาจได้พบอะไรที่เหนือความคาดหมาย แล้วการมีคู่ชีวิตที่ดีนั้นมีชัยไปกว่าครึ่งอย่างโบราณว่าไว้นั้นจริงหรือ ? ไปหาคำตอบกัน !.. If you live to be a hundred, I want to live to be a hundred minus one so I never have to live without you.ถ้าเธออยู่ถึงร้อยปี ฉันอยากอยู่ให้ได้แค่ร้อยลบหนึ่งวัน เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องอยู่โดยไม่มีเธอแม้แต่วันเดียว มีคู่ชีวิตดี..มีชัยไปกว่าครึ่ง ใช่เรื่องจริงหรือ ?! ถ้าหากคุณสังเกตคนที่เป็นคนใหญ่คนโต หรือคนดังไม่ว่าจะสายอาชีพไหน ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีคนอีกคนคอยอยู่เคียงข้างเสมอ และช่วยกันผลักดันกันและกัน จนนำไปสู่เป้าหมายที่ทั้งสองได้ตั้งไว้ และทำให้ประสบความสำเร็จมากมาย ยกตัวอย่างคู่รัก Workaholic อย่าง บารัค โอบามา และมิเชลล์ภรรยาของเขา ที่คอยอยู่เคียงข้างและสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนนี้เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจเลยว่าทำไมเขาทั้งสองถึงกลายเป็นคู่ชีวิตที่ดี..มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะทั้งคู่ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนาประเทศตอนที่ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้เป็นไปอย่างครรลองครองธรรม จนมิเชลล์ได้รับฉายา “สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง” ไปอย่างไม่มีที่ติ ซึ่งนับว่าเป็นคู่สร้าง คู่สมที่เหมาะเป็นตัวอย่างของคนทั้งโลก วิธีสังเกตคู่ชีวิตที่ดี ตามหลักศาสนาพุทธ จากคำตอบที่ได้ก่อนหน้านี้ว่า “มีคู่ชีวิตที่ดี..มีชัยไปกว่าครึ่ง” นับว่าเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่ดีของแต่ละคนก็จะนิยามแตกต่างกันไป เพราะเราทุกคนบนโลกใบนี้ไม่มีทางเหมือนกัน และเรื่องสิ่งที่ดีหรือไม่ดีนั้น สามารถสังเกตกันได้ยากแบบสุด ๆ เลยจำเป็นต้องนำหลักศาสนาพุทธที่ได้มีการระบุชัดเจนว่า ถ้ามีชีวิตคู่ที่ “สม” กันจะต้องมี 4 อย่างนี้เหมือนกัน โดยรายละเอียดมีดังต่อไปนี้ 1. ศีล สำหรับใครที่นับถือศาสนาพุทธ อาจจะรู้จักคำว่า “ศีล 5” กันอยู่แล้ว โดยศีลที่ว่านี้ คือ…
เชื่อว่าหากคุณได้ยินคำว่า Personalized marketing แล้วคงรู้สึกงุนงง นึกภาพไม่ออกว่ามันคืออะไร.. ขอให้คุณลองนึกถึงตอนคุณไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตครั้งล่าสุด บรรยากาศร้านค้าที่สะอาดสบายตา คุณภาพสินค้าที่ดี แพคเกจจิ้งน่าหยิบใช้ มีให้เลือกหลายหลาย รวมไปถึงการต้อนรับของพนักงาน รอยยิ้ม น้ำเสียง ท่าทาง และการใช้สรรพนามเรียกเราว่า “คุณลูกค้า” “คุณท่าน” “คุณ…” ที่ฟังแล้วรู้สึกเป็นคนพิเศษ คล้ายแสงเทียนที่จุดสว่างวาบกลางใจให้เรานั้นอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่มาเยือน ถ้าเป็นเมื่อก่อน การที่ภาคธุรกิจใส่ใจลูกค้าถึงเพียงนั้นก็คงจะเพียงพอแล้ว แต่สำหรับยุคนี้น่าเสียดายนักที่ความใส่ใจนั้นไม่พอเสียแล้ว.. ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาแทรกซึมแทบจะทุกกระบวนการในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และต้องการความรวดเร็วทันใจเป็นปัจจัยสำคัญ เช่นเดียวกับเมื่อคราวก่อนเราพูดถึงการสร้างบุคลิกของแบรนด์ผ่าน Brand Archetypes ให้น่าดึงดูดและง่ายต่อลูกค้าที่จะเข้าหา เปรียบเสมือนปฐมบทแรกเริ่มการกำหนดทิศทางการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ผ่านแบรนด์ ว่าธุรกิจของเรามีตัวตนให้คนจดจำอย่างไร ทว่าครั้งนี้เราไปไกลกว่านั้น.. เมื่อเหล่านักการตลาดเห็นความสำคัญของ Personalized Marketing ที่เปรียบได้กับกลยุทธ์การใส่ใจลูกค้าให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เรื่องนี้จึงน่าสนใจขึ้นมาทันที หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนการตลาดและธุรกิจ การดึงประโยชน์จากสิ่งนี้ไปใช้งานให้เหมาะสมกับคุณที่สุดจึงสำคัญมากในยุคนี้.. Personalized Marketing คืออะไร Personalized Marketing หรือ Personalization คือกลยุทธ์การตลาดแบบหนึ่งที่เน้น ตอบสนองความสนใจ “ตามแต่ละบุคคล” เป็นหลัก โดยอิงอาศัยข้อมูลที่ได้รวบรวมมาวิเคราะห์และปรับใช้กับกลุ่มลูกค้าผ่าน Martech (Marketing Technology) อย่างไรก็ดี การทำตลาดเฉพาะบุคคลสร้างข้อได้เปรียบแก่ธุรกิจหลากหลายประการด้วยกัน ประโยชน์ของกลยุทธ์ Personalized Marketing แม้เราจะล่วงรู้ถึงข้อดีที่ได้จากการใช้กลยุทธ์ดังกล่าว ทว่าหลายคนอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี ทีนี้เราจะค่อย ๆ ทำความเข้าใจไปทีละ Steps ว่าทำอย่างไรบ้างตามลำดับ เริ่มจาก.. วิเคราะห์จุดแข็งตัวเองเสียก่อน SWOT Analysis เป็นเครื่องมือที่ยืนหนึ่งในใจเจ้าของกิจการและนักการตลาดหลายคน เพราะนอกจากจะช่วยเราสำรวจตัวเองและสถานการณ์รอบข้างได้ครอบคลุมแล้ว ยังช่วยเราวิเคราะห์คู่แข่งก่อนตัดสินใจทำบางสิ่งอย่างรอบคอบอีกด้วย ทั้งนี้เรามาดูกันว่า SWOT Analysis มีอะไรบ้าง องค์ประกอบของ SWOT Analysis เมื่อพิจารณาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคของธุรกิจไว้รอบด้านแล้ว เราสามารถใช้ประโยชน์จากการสำรวจครั้งนี้พลิกข้อด้อยเป็นข้อเด่นได้ภายใต้สภาวะแห่งโอกาสและวิกฤตซึ่งเป็นเงาตามตัวได้ลื่นไหลรวดเร็ว นำเสนอให้ตรงใจลูกค้า Data สำคัญมาก ! ในปัจจุบันการเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อนำมาวิเคราะห์ความต้องการเชิงลึกนั้นจัดเป็น “ไพ่ตาย” ที่ตัดสินความเป็นอยู่ของธุรกิจในอนาคตอย่างมาก กิจการบางแห่งอาจพบว่าการเติบโตทางการตลาดได้ถึงช่วงอิ่มตัวสักพักใหญ่ และมีแนวโน้มว่าจะถดถอยลง ก่อนเวลานั้นจะมาถึง การหันมาใส่ใจฐานลูกค้าเก่า เก็บข้อมูลจำเพาะของลูกค้า เพศ อายุ ที่อยู่ ความชอบ ความสนใจของเขาให้มากกว่าเดิมนั้นเป็นทางเลือกที่ดี…