Author: athena_abradmin
เอาใจคนชอบอยู่คนเดียว.. ด้วย 10 เทรนด์ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ กิจกรรมสุดฮิตสุด Hype ของคน introvert คนที่ชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าอยู่กับคนอื่น น่าจะถูกใจชาวสันโดษที่อยากหากิจกรรมคลายเครียด เติมสีสันให้ชีวิต มารวมกันตรงนี้ได้เลย !.. วันนี้เรามีกิจกรรมดี ๆ มาแนะนำ จะมีอะไรที่มาแรงกันบ้างนั้นตามไปดูกันเลย 10 กิจกรรมของคน introvert รับรองถูกใจ 1. ทำความสะอาด หรือจัดบ้านให้เรียบร้อย สภาพแวดล้อมมีผลกับการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก พอเข้าสู่วัยทำงานเรามักจะมองหาความสุขที่เป็นภาพใหญ่ จนมองข้ามความสุขที่เรียบง่าย อย่างเช่นเรื่องการจัดบ้านให้สะอาดน่าอยู่ ที่จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เป็นการสร้างความสุขเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังส่งผลต่อการจัดลำดับความคิดได้อีกด้วย เพราะร่างกายมนุษย์จะดูดซับสิ่งที่เห็นบ่อย ๆ และตอบสนองด้วยการกระทำสิ่งที่สอดคล้องกับบรรยากาศรอบตัว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบ้านที่ดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย จะทำให้เรามีความคิดที่ฟุ้งซ่านตามมา ที่สำคัญการจัดบ้านจะทำให้รู้สึกภูมิใจและขอบคุณตัวเองได้ทุกวัน 2. ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ อย่างที่เราทราบกันดีว่าชาว introvert ชอบอยู่กับตัวเอง มากกว่าออกไปพบปะผู้คนเยอะ ๆ ดังนั้น กิจกรรมอย่างการออกกำลังกายก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยลดความเบื่อหน่ายได้ดี นอกจากนี้การออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายหลั่งสารความสุขบางอย่างออกมา จึงทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอีกด้วย อีกทั้งในปัจจุบันยังมีอุปกรณ์ออกกำลังกายมากมายที่สามารถหาเวลาว่างของวันเริ่มต้นง่าย ๆ จากที่บ้านได้เลย เคล็ดลับสำคัญคือตั้งเป้าหมาย กำหนดมิชชั่นให้กับการออกกำลังกายนั้น ๆ เสมือนการเล่นเกมอย่างนึง แค่นี้ก็ฟินได้คนเดียวไม่ต้องแคร์ใคร 3. ฟังเพลงที่ชอบ ดูหนังหรือซีรีส์เรื่องโปรด เวลาเครียดหรือกังวลเรื่องงาน การอยู่กับตัวเองได้ดีอย่างมีคุณภาพอย่างนึงเลยก็คือการเสพสื่อมีเดียที่สามารถเอนเตอร์เทนจิตใจคุณได้ดีกว่าสิ่งใด การฟังเพลงในสไตล์ที่คุณโปรดปราน หรือการดูซีรีส์-หนังเรื่องโปรด เป็นการผ่อนคลายความเครียดให้กับสมองได้ อย่างน้อย ๆ กล้ามเนื้อสมองคุณก็รัดเกร็งน้อยลงโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ ! ยิ่งไปกว่านั้น.. เชื่อว่าหากคุณได้ใช้เวลาไปกับความบันเทิง เสพผลงานของศิลปินที่คุณชื่นชอบ เวลาจะถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้คุณมีความสุข และมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น 4. กินอาหารที่ชอบ ไม่ว่าใครก็ต่างมีอาหารจานโปรดทั้งนั้น การออกไปยืนต่อแถวท่ามกลางคนเยอะ ๆ ข้างนอกเพื่อรออาหาร 1 มื้อ ในบางครั้งก็เป็นอะไรที่ยากมากสำหรับชาว introvert ดังนั้นจะดีกว่าไม่ ถ้าลงมือทำอาหารจานโปรดด้วยตัวเอง เพื่อสร้างกิจกรรมในยามว่าง สำหรับคนที่ทำบ่อย ๆ ก็จะรู้ดีว่าเป็นกิจกรรมที่เพลิดเพลินมากเลยทีเดียว สำหรับมือใหม่ ถ้าได้ลองทำอาหารด้วยตัวเองสักครั้งก็จะรู้เลยว่า มันสนุกกว่าที่คิดหรือไม่แน่คุณจะค้นพบตัวเองเลยก็ได้ 5. นั่งสมาธิ…
คุณเป็นคนนึงหรือเปล่า ? ที่กำลังอยากรู้วิธีเก็บเงินให้ได้เร็ว หรือกำลังประสบปัญหาเรื่องการออมเงิน ทำงานมาหนักแต่ก็ไม่มีเงินเก็บสักที หรือทำงานมาเป็นปีแล้ว ซื้อของที่ต้องการไม่ได้ ในบทความนี้เรามีแอปพลิเคชันช่วยออมเงินง่าย ๆ มาฝากกัน ซึ่งแอปออมเงินเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยบริหารจัดการการเงินในด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างง่าย ๆ เป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น และถือว่าเป็นหนึ่งใน “วิธีเก็บเงินให้ได้เร็ว” เพราะช่วยทำให้เราสามารถที่จะวางแผนการใช้เงินในด้านอื่น ๆ ของชีวิตในอนาคตให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย แอปพลิเคชันช่วยออมเงิน วิธีเก็บเงินให้ได้เร็ว เป็นระบบมากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหา แอปพลิเคชันช่วยออมเงิน เพื่อวางแผนการเงินให้ดี ให้ปัง ซึ่งทางเราก็ได้รวบรวมแอปพลิเคชันทั้งหมด 7 แอป ที่จะสามารถเปลี่ยนชีวิตทางการเงินของคุณได้แบบเห็นได้ชัด โดยแต่ละแอปจะมีฟังก์ชันการทำงานที่แตกต่างกัน หากใครอยากรู้ว่าแอปพลิเคชันไหนมีความน่าสนใจอย่างไรสามารถตามอ่านพร้อม ๆ กันได้เลย 1. Save Money Daily แอปพลิเคชันตัวช่วยจัดการเรื่องการเงินที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น Save Money Daily มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเด่นในด้านการจดบันทึกรายรับรายจ่ายได้ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน แอปนี้ใช้งานได้ง่าย เพราะมีรูปแบบที่ไม่ซับซ้อน อีกทั้งยังมีการสรุปผลอย่างละเอียด ทำให้สามารถย้อนดูประวัติรายการกระแสเงินสดของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ โดยจะสรุปผลในรูปแบบกราฟทำให้เห็นภาพของกระแสการเงินชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินมากเลยทีเดียว หากสนใจสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ที่ AppStore เท่านั้น เพราะแอบน่าเสียดายที่รองรับแค่ iOS 2. Money Lover แอปพลิเคชันช่วยออมเงินและจัดการทุกปัญหาเรื่องเงิน การันตีจากยอดการดาวน์โหลดมากกว่า 5 ล้านคน จุดเด่นของแอปนี้คือ มีระบบรักษาความปลอดภัยที่กันข้อมูลสำคัญไว้ ไม่ได้เกิดการรั่วไหล ผู้ใช้งานต้องลงทะเบียนการใช้งานทุกครั้ง เครื่องมือภายในใช้งานง่าย ไม่มีความซับซ้อน อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารเงิน ไม่ว่าจะเป็น การจดบันทึกรายรับ รายจ่าย การแยกประเภทข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน อีกทั้งยังสามารถอัพโหลดรูปภาพได้ โดยแอปพลิเคชันจะเซฟเป็นข้อมูลผู้ใช้งานทั้งหมดให้แบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ Money Lover สามารถใช้งานได้แบบทั่วไป และแบบคำนวณงบประมาณแบบเชิงลึก เช่น หนี้ต่าง ๆ หรือการชำระบัตรเครดิตล่วงหน้า จัดเต็มครบวงจรแบบนี้ แผนการออมเงินมีประสิทธิภาพขึ้นแน่นอน รองรับการใช้งานได้ทั้งระบบ Android และ iOS 3. Money Diary Money Diary…
คนหนุ่มสาววัย 25 ถึง 35+ ปลาย ๆ นี่คือช่วงวัยของการก่อร่างสร้างตัว ขะมักเขม้นกับการทำงานเพื่อความมั่นคง และสนุกกับการค้นหาตัวเอง ได้ทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าแพสชั่นเหล่านั้นแลกมาด้วยพลังงานที่ต้องสูญเสียไปกับร่างกายที่กรำศึก สมองที่ต้องคิด หัวใจที่ต้องอดทน กล้ามเนื้อที่ต้องออกแรงแข็งขัน และถ้าหนุ่มสาวคนหนึ่งคนใดหลงลืมหันกลับมามองว่าสุขภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขาเหล่านั้นถดถอยไปเท่าไหร่แล้วละก็.. แม้แต่เงินตราความสำเร็จที่หามาได้ ก็ไม่อาจทดแทนความเสื่อมโทรมของสุขภาพที่เสียไป.. ใด ๆ ในโลกล้วนต้องแลกเปลี่ยน และหากคุณไม่วางแผนให้ดี การเทรดระหว่างเงินตรา-ความสำเร็จ และสุขภาพร่างกาย-จิตใจ คุณอาจเจอกับสภาวะ “ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะฉะนั้น คุณต้องรู้ทัน ใส่ใจกับการ ดูแลสุขภาพ และเช็คอัพร่างกายอยู่เสมอ รู้ก่อน.. ป้องกันทัน ลุยงานได้เต็มกำลัง ทำความเข้าใจสุขภาพร่างกายและจิตใจเบื้องต้น ผลสำรวจของสวนดุสิตโพลช่วงหลังที่โควิดเริ่มซา พบว่าคนส่วนใหญ่หันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งเป็นอัตราที่ “เพิ่มขึ้น” กว่าเดิมถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ และคงไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายมากนักกับการที่ตัวเลขพุ่งสูงขึ้นขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพอคนทั่วไปพบวิกฤตการณ์โรคระบาดจึงเพิ่งตื่นตัวมากขึ้นเรื่องการดูแลสุขภาพ ฉันใดก็ฉันนั้น.. หากกลับสู่สภาวะปกติก็เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนส่วนใหญ่ก็จะกลับมาละเลยการดูและสุขภาพเหมือนก่อนหน้านี้ ??? ดังนั้นเรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจถือเป็นปัจจัยชี้นำที่ทำให้ชีวิตเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือแย่ลงได้ โดยปกติแล้วร่างกายและจิตใจของคนเราหากมีการดูแลจัดการที่ดีและเป็นระเบียบให้คงอยู่ตามสมดุล อาการเจ็บป่วยหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยจะไม่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าเมื่อมนุษย์เราได้เจริญเติบโตอย่างเต็มที่ในช่วงอายุ 20-25 ปี ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยเรื่อย ๆ ดังนั้นการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การทำงาน และแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วสุขภาพดีก็จะนำมาซึ่งความสุข โรคยอดฮิต ปัญหาสุขภาพ ของคนอายุช่วง 25 – 40 มีอะไรบ้าง เรื่องสำคัญของคนหนุ่มสาววัยทำงานที่ต้องรู้เท่าทัน คือ “โรคยอดฮิต” ของคนทำงาน และนี่ถือเป็นปัญหาสุขภาพของคนอายุ 25 – 40 ปี ที่มักพบได้บ่อย โดยสุขภาพจะมีความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพื่อที่จะป้องกันไม่เกิดเหตุเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ การรู้ก่อนว่าช่วงวัยทำงานนี้มีปัญหาสุขภาพอย่างไร ก็จะทำให้คุณสามารถระมัดระวังตัวได้มากยิ่งขึ้น โดยปัญหามีดังต่อไปนี้ 1. โรคออฟฟิศซินโดรม สำหรับใครที่ทำงานออฟฟิศและนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน 8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นประจำแบบนี้ไม่หยุด ต้องบอกเลยว่า โรคออฟฟิศซินโดรม ถามหาแน่ ๆ แชมเปี้ยนตลอดการกับคู่หูคู่ซี้ของพนักงานบริษัทนั่งโต๊ะ โรคนี้จะเป็นโรคที่เกิดอาการปวด มีอาการปวดเกร็ง หรือปวดเรื้อรังเป็นเวลานาน สามารถเกิดได้ที่บริเวณ คอ บ่า ไหล…
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า.. ก่อนที่คุณจะศึกษา วิธีเข้าสังคม เพื่อขยายคอนเนคชั่นของวงสังคมให้กว้างขึ้น คุณจำเป็นที่จะต้องรู้จุดประสงค์ในการหาคอนเนคชั่นนั้นเสียก่อน ซึ่งการหาคอนเนคชั่นมีได้หลายวัตถุประสงค์ เช่น อาจจะเป็นเรื่องของการหาคนมาเพื่อสนับสนุนธุรกิจ การหาคนมาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการลงทุน หรือเป็นการหาคนที่อยู่สายงานเดียวกันเพื่อต่อยอดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในงานนั้น การแสวงหาคนรู้จักให้มากขึ้นเพื่อขยับขยายตำแหน่งในสายงาน ตลอดจนไปถึงการหาฐานลูกค้าใหม่ ๆ หรือแม้แต่ทำความรู้จักไว้ก่อนเผื่อในอนาคตอาจจะได้ร่วมงานกัน สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นในการอ่านบทความนี้เพื่อให้สามารถเรียนรู้ วิธีเข้าสังคม เพื่อหาคอนเนคชั่นและสร้างเครือข่ายให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อคุณกำหนดวัตถุประสงค์เป็นที่เรียบร้อย เราจะเริ่มเรียนรู้ไปด้วยกันกับวิธีการดังต่อไปนี้.. 7 วิธีเข้าสังคม เพื่อการหาคอนเนคชั่นแบบมีประสิทธิภาพ 1. หาคอร์สเรียนที่คุณสนใจ หรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจในระยะสั้น ๆ สิ่งแรกที่อยากให้คุณทำเพื่อเพิ่มคอนเนคชั่นได้เป็นอย่างดี ก็คือการลงคอร์สเรียนต่าง ๆ ในหมวดหมู่ที่ตัวเองสนใจ หรืออาจจะลงคอร์สเรียนเกี่ยวกับธุรกิจสายงานของคุณเพื่อเพิ่มความรู้ได้อยู่เหมือนกัน โดยแนะนำคอร์สเรียนที่คนเรียนไม่เยอะ แนะนำว่ามากสุดไม่ควรเกิน 15 คน เพื่อที่จะได้รู้จักกับทุกคนว่าเป็นใคร ทำงานเกี่ยวกับอะไร และแน่นอนว่าอย่าลืมที่จะของคอนแทคไว้ติดต่อด้วย เผื่อวันหนึ่งคุณอยากจะขอความช่วยเหลือหรือให้ความช่วยเหลือได้ และอีกอย่างทางคนเปิดสอนอาจตั้งกลุ่มไว้ทำให้เราสามารถติดต่อข่าวสารได้ตลอด 2. เข้าสัมมนาที่เกี่ยวกับธุรกิจ วิธีเข้าสังคม ที่ตรงกับสกิลของคุณ สำหรับวิธีเข้าสังคมที่จะเข้าถึงคนในแวดวงธุรกิจเดียวกันที่ดีที่สุดคือการเข้าสัมมานาหรือ คอร์สอบรม ที่อาจจะเป็นบริษัทหรือที่ทำงานของคุณเป็นผู้จัด หรืออาจจะเป็นการสัมมนาหรืออบรมนอกสถานที่ ที่เราจะเห็นได้ว่าจะมีงานสัมมนามากมายที่มีทั้งฟรีหรือไม่ก็เสียเงินให้เข้าไปเรียนรู้ ในจุดนี้การจะหาคอนเนคชั่นในคนหมู่มากอาจจะยากหน่อย แต่ก็ให้เริ่มจากพูดคุยกับคนใกล้เคียง หรือทำกิจกรรมร่วมกันได้เพื่อสร้างความสนิทสนม 3. ออกไปทำกิจกรรมแบบกลุ่ม วิธีเข้าสังคมเพื่อหาคอนเนคชั่น ไม่จำเป็นที่จะต้องเกี่ยวกับงานหรือธุรกิจเสมอไป คุณสามารถออกไปทำกิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบ อาจเป็นเรื่องของงานอดิเรก เช่น วาดรูป จัดดอกไม้ วิ่ง ปั่นจักรยาน ตั้งกลุ่มไปเที่ยวกับคนไม่รู้จัก ทำพิธีการทางศาสนา หรือแม้แต่การเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้คนก็จะสามารถพบเจอคนใหม่ ๆ ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากคุณออกไปทำกิจกรรมมากเท่าไหร่ คุณก็จะขยับขยายสังคมในด้านต่าง ๆ ได้มากเท่านั้น 4. การใช้ Linkedin.com ในการหาคอนเนคชั่นใหม่ ๆ สำหรับใครที่ต้องการหาคอนเนคชั่นหรือต้องการพรีเซนต์ตัวเองด้วย การเลือกใช้ Linkedin.com นับเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด เพราะไม่ต้องออกไปไหน ก็สามารถค้นหาคอนเนคชั่นที่คุณต้องการผ่านการฝากประวัติการทำงานของคนอื่น ๆ ได้ แม้แต่ของตัวเองก็สามารถฝากประวัติทิ้งไว้ให้คนอื่นตามดูได้เช่นกัน วิธีการหาคอนเนคชั่น จะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา และสามารถหาคนที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว 5. มีเพื่อนให้เยอะ ๆ แล้วแนะนำแบบปากต่อปากไปเรื่อย ๆ การมีเพื่อนนับเป็นวิธีเข้าสังคมที่ทำให้เราเข้าวงในได้มากที่สุด หากใครที่มีเพื่อนตั้งแต่มัธยม มหาวิทยาลัย สถานที่ทำงานหลายๆ ที่ หรือแม้แต่การพบเพื่อนจากที่อื่นๆ…
Multitasking และ Prioritizing skills จำเป็นมากจริง ๆ กับการทำงานในยุคสมัยนี้เพื่อให้ก่อเกิด Productivity ไม่ว่าจะสายอาชีพใด ยิ่งเมื่อคุณโตขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น คุณต้องรับผิดชอบทั้งงานหลัก (Main goal) ควบคู่ไปกับงานรอง (Sub goal) ในบางสายอาชีพยังอาจถูกงานประเภท Operation Supports แทรกเข้ามาอย่างเร่งด่วนเป็นประจำ หรือหากคุณเป็น Specialist จ๋า แน่นอนว่าคุณต้องมีหน้าที่ให้คำปรึกษา คอยรับโทรศัพท์ ตอบ LINE หรืออีเมลจากผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณอยู่เสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กิจกรรมหรือ tasks ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ถ้าหากว่าคุณไม่มีพาร์ทเนอร์ประจำตัวคอยช่วยสะกิดเตือน นั่นหมายถึงคุณก็คงต้องจำอะไรเองทั้งหมดคนเดียว หรือไม่มีแพลนเนอร์มาช่วยจัดการและช่วยลำดับงาน คุณก็คงต้องใช้วิธีการจดโน๊ตแบบง่าย ๆ ในสมุดหรือ post-it ซึ่งถ้ามีงานสองงานก็พอไหว แต่หากมีเป็นสิบ ๆ tasks ต่อวัน แค่คิดตามก็ปวดหัวแล้ว ! ปัญหานี้สำหรับในทุกวันนี้แล้ว มันก็ไม่ได้แก้ไขยากเท่าไหร่ เพียงคุณลองมองหาเทคโนโลยี และใช้แอปพลิเคชั่นจำพวกแอพจัดตารางงาน เลือกแอพที่ตรงกับรูปแบบอาชีพและสไตล์การทำงานของตัวคุณเอง รับรองเลยว่าเจ้าแอพเหล่านี้มันช่วยเป็นทั้งแพลนเนอร์และพาร์ทเนอร์ให้คุณได้อย่างดี การันตี Productivity ของคุณจะต้องเพิ่มมากขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ 7 แอพจัดตารางงาน เป็นทั้งพาร์ทเนอร์และแพลนเนอร์ เลือกใช้ตามสไตล์ การจะเลือกแอพจัดตารางงาน เพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ช่วยเตือนความจำ หรือเป็นแพลนเนอร์ช่วยจัดการและช่วยลำดับงานให้ตัวคุณเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญ โดยคุณควรจะต้องเลือกให้ตรงกับรูปแบบอาชีพและสไตล์การทำงานของตัวคุณเอง แอพไหนที่ User Interface ใช้ง่ายสำหรับคุณ รองรับปริมาณงานและรูปแบบงานที่ตรงกับข้อมูลงานของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือแอพที่ใช้นั้นต้องมีฟีเจอร์หลักที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับคุณได้ เพราะเมื่อใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาช่วยแล้ว Productivity ของคุณต้องเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่คุณต้องลองศึกษาจากทั้ง 7 แอพผู้ช่วยในการจัดตารางงานยอดฮิตเหล่านี้ ที่เราสรุปมาให้หรือลองไปดาวน์โหลดมาใช้เสียก่อน 1. Planner Pro แอพจัดตารางงาน ที่มีเทมเพลตและเครื่องมือใช้งานสุดน่ารัก เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการออกแบบ เพราะมีลูกเล่นให้บริการมากมาย แถมยังใช้งานง่าย ระบบไม่ซับซ้อนตอบโจทย์นักจัดตารางงานมือใหม่ ดาวโหลดใช้งานฟรี สามารถรองรับได้ทั้งระบบ Android และ iOS เพียงเชื่อมต่อกับ Google Calendar แพลนกิจกรรมต่าง ๆ ได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องลืมตารางงาน ระบบจะแจ้งเตือนเช็คลิสต์ที่ต้องทำ ระหว่างทำและติดตามผลอัพเดทความคืบหน้าอัตโนมัติ ที่สำคัญมีฟีเจอร์สมุดโน้ตสำหรับบันทึกเรื่องราวและไอเดียการทำงานต่าง…
ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียและ AI มีบทบาทสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมและความสัมพันธ์ระดับ “ครอบครัว” อย่างชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นคุณอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเลยก็ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ “สังคมก้มหน้า” วลีฮิตในยุคโซเชียล ที่ไว้ล้อเลียนใครบางคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ มีความสุขกับการปฏิสัมพันธ์กับสังคมในโซเชียลมีเดีย ที่ AI คอยเสิร์ฟคอนเทนต์ที่คุณสนใจมาให้เรื่อย ๆ จนลืมจะสานสัมพันธ์กับคนในครอบครัว หรืออีกตัวอย่างคือการที่คุณตัดสินใจซื้อสินค้า ทั้งที่คนใกล้ตัวคุณเตือนแล้วว่ามันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่คุณก็อดใจไม่ไหวเพราะ AI คอยฟีดสิ่งของที่คุณอยากได้ขึ้นมาให้เห็นทุกวัน จนคุณคลิกลงตระกร้าสินค้า รูดบัตรจ่ายเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที และที่ชัดเจนที่สุดในทุกวันนี้ ก็คือ AI หรือ ChatBot ที่เริ่มสนทนากับคนได้อย่างจริงจังเปรียบดั่งที่ปรึกษาชั้นยอด.. และนี่แหละ ! จึงเห็นได้ว่าเทคโนโลยีเป็นตัวแปรสำคัญที่จะชี้วัดระดับความสัมพันธ์ในครอบครัว นำมาซึ่งข้อคิดสำคัญที่ควรตระหนักนั่นคือ โซเชียลมีเดียและ AI รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตหรือความสัมพันธ์ในครอบครัวให้เป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ดังนั้นนี่คือประเด็นที่น่าสนใจมากที่เราจะมาหารือกันวันนี้ เชื่อมต่อ / ความสัมพันธ์ / ครอบครัว สะดวกง่ายและรวดเร็ว คีย์หลักของโซเชียลมีเดียหรือ AI คือเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ ในทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร ที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่านี่คือเครื่องมือที่เป็นหัวใจหลักที่ทำให้คนเราใกล้กันมากขึ้น.. ใช่แล้ว ! แน่นอนว่ามันช่วยคุณเพิ่มความสัมพันธ์ครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นได้ ง่าย สะดวก และรวดเร็วสุด ๆ สามารถใช้ได้ทั้งทางใกล้และทางไกลไปทั่วโลก แถมเห็นหน้ากันผ่านวีดีโอคอลที่คมชัดอีกต่างหาก ซึ่งถ้าเทียบกับในอดีต คุณจะไม่มีทางติดต่อกันได้รวดเร็วทันใจเท่ากับในปัจจุบัน และเชื่อว่าในอนาคต เทคโนโลยีการสื่อสารจะผนวกพลังเข้ากับ AI มากขึ้นกว่าปัจจุบัน และจะมีการเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้มีมิติมากกว่านี้อย่างแน่นอน ข้อดีและทิศทางการใช้โซเชียลมีเดียและ AI สร้างสัมพันธ์ ข้อเสียของการใช้โซเชียลมีเดียและ AI สร้างสัมพันธ์ วิธีใช้โซเชียลมีเดียหรือ AI สร้าง ความสัมพันธ์ครอบครัว ใช้ในการบอกกล่าวเพื่ออัพเดท เวลาที่จะออกไปข้างนอกหรือไปไหนก็ตาม รวมทั้งการทำอะไรอยู่ สามารถอัพเดทได้แบบรวดเร็วทันใจเพียงแค่ใช้แอปพลิเคชันในการสื่อสาร เพื่อแจ้งให้ครอบครัวหายห่วง สามารถแจ้งผ่านแอปพลิเคชั่นแบบส่วนตัว หรือสามารถแจ้งผ่านกลุ่มครอบครัวได้ ใช้ติดต่อสื่อสารแบบทางไกลให้เห็นหน้า การใช้การติดต่อสื่อสารแบบทางไกล สามารถทั้งโทรแบบไม่เห็นหน้า วิดิโอคอลที่สามารถใช้ผ่านแอพต่าง ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี บางแอปก็จะมีฟังก์ชันที่จะช่วยทำให้ ความสัมพันธ์ครอบครัว ในครอบครัวดีขึ้น เช่น การใส่ฟิลเตอร์หน้าของตัวเองให้อีกฝ่ายดู หรือมีเกมสนุก ๆ ที่สามารถเล่นผ่านทางแอปพลิเคชันเหล่านั้นได้ ใช้ติดต่อสื่อสารครอบครัวกับเครือญาติทุกมุมโลก ในกรณีที่อยากจะสื่อสารกับคนในครอบครัวเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ…
“หุ่นยนต์ไม่ต้องใช้ออกซิเจนหายใจอย่างมนุษย์”.. ทุกวันนี้กระแส A.I. เริ่มจริงจังมากขึ้นทุกวัน จนมีแนวคิดแฝงบางอย่างว่าหากภาวะโลกร้อนที่มีอัตราสูงขึ้นทุกปี และทรัพยากรสำคัญที่ถูกทำลาย ไม่แน่นั้นอาจหมายถึงสัญญาณหมดเวลาของมนุษย์ และแน่นอนสิ่งใดหายไปก็ต้องถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ !.. แต่ช้าก่อน.. ก่อนจะจินตนาการไปถึงขั้นนั้น เรามาคุยกันก่อนดีกว่า ว่าจะทำอย่างไรเพื่อรักษาโลกของเราไว้ ช่วยกัน ลดโลกร้อน และหยุดทำลายสิ่งสำแวดล้อมมากไปกว่านี้ และก็เป็นอะไรที่น่าดีใจขึ้นบ้าง ที่ทุกวันนี้คุณจะเห็นว่าเทรนด์รักษ์โลกเป็นกระแสแรงขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่และแบรนด์ระดับโลก ต่างก็ออกแคมเปญแนว Sustainability มากมายเพื่อช่วยลดโลกร้อน อาทิเช่น แอพฯ Eco-Friendly ของ Big Tech หลายเจ้า วงการแฟชั่นก็เอาด้วยกับคอลเลคชั่นวัสดุรีไซเคิล อุตสหากรรมมากมายที่นำเสนอโปรดัคเพื่อสนับสนุน Eco-Life หรือ Eco-City และแน่นอนรถยนต์ EV ที่ทุกวันนี้ในบ้านเรากำลังตื่นตัว ฯลฯ ซึ่งตัวอย่างบางส่วนนี้ทั้งหมดก็เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของตัวคุณและรวมไปถึงคนที่คุณรัก ส่วนตัวคุณเองก็สามารถ Proactive และเริ่มได้ตั้งแต่วินาทีนี้ โดยลองปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน ใช้ไลฟ์สไตล์แบบลดโลกร้อน ช่วยกันคนละนิด ทำเพียงวันละหน่อย รับรองว่าแค่นั้นก็สามารถพลิกชีวิตและทำให้โลกน่าอยู่ได้มากยิ่งขึ้น 8 วิธีเปลี่ยน ชีวิตประจำวัน ลดโลกร้อน ทำได้ง่าย ๆ ได้ทุกวัน การปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันเพื่อ ลดโลกร้อน นับเป็นสิ่งสำคัญและทรงคุณค่า เพราะทุกการกระทำของคุณที่ได้ปรับเปลี่ยนไป ก็จะสามารถช่วยโลกจากภาวะโลกร้อน ปรับเปลี่ยนการทำลายธรรมชาติเพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์อย่างไม่จำเป็น และที่สำคัญยังทำให้สภาพอากาศรวมไปถึงสภาพแวดล้อมของโลกดีขึ้นได้อีกด้วย โดยคุณเองสามารถปรับได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงทุน และไม่ลำบากชีวิตจนเกินไปด้วยนะ 1. เลือกใช้ถุงผ้าในการช้อปปิ้ง และซื้อของอื่นๆ เชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนพกถุงผ้าติดตัวไว้ เพื่อใส่ของที่ช้อปปิ้งจากซูเปอร์มาเก็ต หรือร้านค้าอื่น ๆ แต่อีกสถานที่หนึ่งที่มีการใช้พลาสติกไม่น้อยและหลีกเลี่ยงได้ยากนั่นคือโรงพยาบาล คุณรู้หรือไม่ ? การหลีกเลี่ยงรับถุงพลาสติก 1 ครั้ง จะสามารถลดปริมาณในการใช้พลาสติกได้เป็นอย่างมาก เริ่มที่ตัวคุณได้ง่าย ๆ และจัดว่าเป็นการปรับชีวิตประจำวันช่วยลดโลกร้อนที่ทำได้ในทันที 2. เลือกติดตั้งเครื่องกรองน้ำแทนซื้อแพคน้ำ สำหรับมนุษย์ปริมาณน้ำที่ควรบริโภคคือ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน ถ้าเทียบกับขวดน้ำขนาดใหญ่ก็คือ 1.5 ลิตร เท่ากับว่าคุณจะใช้ขวดน้ำที่ทำจากพลาสติก 1 ขวด และถ้าหากดื่มแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ก็จะกลายเป็นว่าใน…
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด.. กรุงโรมก็ไม่ได้สร้างด้วยคนเพียงคนเดียวฉันนั้น แน่นอนว่าเหนือสิ่งอื่นใดหากคุณต้องการทำงานสเกลใหญ่ให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย นอกจากสกิลของคนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดหนีไม่พ้นการสร้าง “ทีมเวิร์ค” ที่ดี เพื่อที่จะสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งประโยชน์ทางตรงที่คุณเห็นได้ชัดของการมีทีมเวิร์คที่ดี นั่นคือคุณภาพของงาน ปริมาณ และเวลาที่ดีขึ้น ส่วนประโยชน์ทางอ้อมคือองค์กรได้พัฒนาองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว แต่การสร้างทีมเวิร์คให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีได้นั้น.. ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมเวิร์คที่ทำงานให้ออกมาดีได้นั้นไม่ใช่ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ หากคุณเป็นหัวหน้าและมีบทบาทในการจัดการทรัพยากรบุคคล สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องมีทักษะที่ดีในการจัดสรรคนให้ลงตัว สกิลของแต่ละคนต้องสอดคล้องเหมาะสมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง จำนวนคนต่อทีมต้องพอดีเหมาะสมกับปริมาณงาน ไม่ใช่ทำงานร่วมกันแล้วกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่แม้ว่าการจัดการกับคนคือเรื่องน่าปวดกหัวที่สุดของทุกกิจกรรมในองค์กร ซึ่งยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางทำให้ดีได้ เอาล่ะ!.. งั้นต่อไปนี้คุณจะได้รู้ว่าการสร้าง ทีมเวิร์ค ที่ดีมีแนวคิดอย่างไร เริ่มจากคิดก่อนว่า.. ทีมเวิร์คที่ดีต้องมีกี่คน ? จากที่บอกไปว่า.. จำนวนคนต่อทีมต้องพอดีเหมาะสมกับปริมาณงาน ต้องไม่หลวมแต่ก็ต้องไม่บีบรัดจนเกินไป การที่จะสร้าง ทีมเวิร์ค ขึ้นมา ก่อนอื่นขอแนะนำให้คุณนิยามสเกลของงานก่อนว่ามีขนาดระดับไหน เล็ก (S) กลาง (M) หรือ ใหญ่ (L) หากงานของคุณมีปริมาณมาก มีความละเอียดและซับซ้อน อาจมีระดับใหญ่มาก (XL) ด้วยก็ได้ ซึ่งใช้แนวคิดเดียวกัน เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างทีมที่ดีขึ้นมา มีจำนวนคนต่อทีมเหมาะสมจนสามารถเพิ่มศักยภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่ Small Sizing งานขนาดเล็ก จำนวนคนที่คุณควรจัดให้เหมาะสมต่อทีมคือประมาณ 4 – 5 คน รวมหัวหน้าทีม (Leader) โดยคนกลุ่มนี้ควรมีหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกัน เพื่อที่ว่าทุกคนจะสามารถทำงานตามหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยมีหัวหน้าทีมคอยแนะนำ ให้คำปรึกษา ช่วยแก้ปัญหา และผสานงานแต่ละส่วนเพื่อให้ผลงานออกมาเสร็จสมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมาย Medium Sizing งานขนาดกลาง แนะนำว่าจำนวนที่เหมาะสมคือ 6 – 7 คน โดยคุณควรกำหนดให้ทีมมีทั้งหัวหน้าทีมและรองฯ ส่วนสมาชิกที่เหลือควรมีหน้าที่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าหากตำแหน่งหน้าที่ใดไม่สามารถมีแค่คนเดียวได้ คุณอาจเพิ่มให้มีสองคนที่ทำหน้าที่เดียวกันก็ถือว่าเป็นจำนวนกำลังดี แต่ไม่ควรมีมากกว่านี้แล้ว เพราะจะเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับงานในหน้าที่นั้น หากเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องตัดสินใจ และจะส่งผลทำให้เกิดการดำเนินการที่ล่าช้าขึ้นทันที Large Sizing งานขนาดใหญ่สเกลระดับ L หรือ XL ขึ้นไปก็สามารถใช้แนวคิดนี้ได้ งานระดับใหญ่นี้มีความซับซ้อนและหลายขั้นตอน ดังนั้นเพื่อให้งานสำเร็จ คุณจำเป็นต้องมีหลาย ๆ ฝ่ายที่ทำหน้าที่ที่แตกต่างกันเป็นจำนวนมาก คุณต้องแตกทีมย่อย ๆ ตามแต่ละฝ่ายขึ้นมา โดยอาจจะมีตั้งแต่…
การพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มความสามารถในด้านต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตและการทำงาน เพราะเป็นหนทางสุจริตเพียงหนทางเดียวที่จะนำพาตัวคุณเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จหรือมีคุณภาพชีวิตดีกว่าที่เป็นมาได้ เหนือสิ่งอื่นใดนั้น คุณควรจะต้องเริ่มจากการค้นหา “วิธี” เพื่อ “พัฒนาตนเอง” ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตัวคุณเสียก่อน และตามท๊อปปิคตัวหนาของเราในวันนี้เลยที่ต้องการเน้นย้ำว่า.. การพัฒนาตนเองที่ได้ผลดีนั้น คุณไม่จำเป็นต้องแข่งกับใครเพื่อที่จะเหนือกว่า หรือแม้แต่การแข่งขันกับตัวเองในแบบฉบับเมื่อวาน ก็ขอแนะนำว่าไม่ควรเช่นกัน !!! คำคมติดหูที่คุณมักได้ยินบ่อย ๆ เช่นว่า “คุณคนนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน..” ใด ๆ เหล่านั้น..ขอให้ลืมมันซะ อย่าไปกดดันตัวเอง เพราะชีวิตของแต่ละคนมีขึ้นและลงตลอดเวลา ดังนั้นการตั้งมายเซ็ตแบบนั้นจะส่งผลต่อจิตใจในเชิงลบได้ เราไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันกับใคร ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเราเองกับใคร คนคนเดียวที่เราควรจะแข่งขันด้วยก็คือตัวเราเองในวันนี้ กำหนดเป้าหมายให้แน่ชัด เพื่อให้การ “พัฒนาตนเอง” มีประสิทธิภาพ ก่อนจะเข้าสู่วิธี “พัฒนาตัวเอง” สิ่งสำคัญแน่ชัดที่สุด คือการ “กำหนดเป้าหมาย” ให้ชัดเจน และควรจะกำหนด 1 เป้าหมายหลัก และเป็นประโยคสั้น ๆ เพื่อที่คุณจะสามารถมุ่งไปสู่เป้าหมายได้อย่างชัดเจน ไม่วอกแวก ยกตัวอย่างเช่น จากตัวอย่างจะเห็นแล้วว่าเป้าหมายนั้นสามารถเป็นได้หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างอาจจะกำหนดระยะเวลาในการทำได้ แต่บางอย่างจะต้องทำสม่ำเสมอและไม่ควรหยุดเด็ดขาด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณเลยว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างไร และเมื่อเป้าหมายสำเร็จจะขยายเพิ่มเติมหรือไม่ อันนี้ก็สุดแล้วแต่คุณเลย ทริคการกำหนดเป้าหมายอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลดีเยี่ยม ไปดูได้ที่.. 6 วิธี พัฒนาตนเอง แบบ “แข่งกับตัวเอง” มั่นคงและประสบความสำเร็จ รแนะนำ 6 วิธีพัฒนาตัวเอง แบบมั่นคง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หรือยัดเยียดให้ประสบความสำเร็จได้ไว ๆ ขอเพียงแค่คุณตั้งมั่นและปักหมุดเป้าหมายที่ได้เลือกให้ดี และพยายามทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องกดดันตัวเอง เพราะการพัฒนาตัวเองควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คนรอบข้างดีขึ้น ไม่ใช่พัฒนาตัวเองเพื่อให้ความสุขลดน้อยลง แล้วคุณจะรู้ว่า เพียงแค่คุณคนเดียวก็สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสได้ ! 1. เชื่อมั่นว่าตนเองทำได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สิ่งแรกที่ควรหันมาโฟกัสก็คือสภาพจิตใจ อะไรที่เป็นด้านลบ ขอให้เคลียร์ออกจากใจให้หมด และเปลี่ยนความคิดเพิ่มพลังบวกโดยการคิดว่า “เชื่อมั่นว่าตนเองทำได้” เพราะหากตรงนี้ไม่มีการที่จะอดทน ฝึกฝน เพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นยากสุด ๆ ถ้าหากใครมีปัญหาตรงนี้อาจจะต้องลุยหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้ไม่เชื่อมั่น และค่อย ๆ แก้ไปทีละข้อ 2. มี Passion กับสิ่งที่ได้ทำ…
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพอเรา “โตขึ้น” ถึงมีอะไรติดขัดตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน เรื่องการเงิน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว ที่ดูยังไง ๆ ก็เหมือนวนลูป และจบเหตุการณ์เหล่านั้นแบบเดิม ๆ หรือไม่ก็ผิดหวัง ช้ำใจอยู่บ่อย ๆ จนคิดเสียว่าคุณไม่เคยมีโชคทางด้านนี้หรือเปล่า และคุณรู้หรือไม่ ?!.. สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับคุณในทุก ๆ ช่วงชีวิต อาจเกิดจาก ทรอม่า หรือ บาดแผลทางใจ ตั้งแต่ในวัยเด็กที่ส่งผลมายังปัจจุบันก็เป็นได้ หากคุณสงสัยว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในนั้น.. งั้นเรามาลองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อย้อนอดีตในวัยเด็กและทำความเข้าใจกับมันกันดีกว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวในวัยเด็ก ก่อนอื่นทุกคนต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทรอม่า หรือ บาดแผลทางใจ มักจะเกิดขึ้นตอนวัยเด็กที่ผ่านประสบการณ์หรือเหตุการณ์อันเลวร้ายและกระทบกระทั่งจิตใจจนเกิด “แผลที่อยู่ในใจ” โดยเหตุการณ์ที่ว่านั้นอาจเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็ยังคงติดตาหรือติดในใจเสมอ หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นซ้ำ ๆ กลายเป็นปมปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ออกไปได้ สิ่งเหล่านี้เด็กส่วนใหญ่จะไม่รู้ ว่าเหตุการณ์ที่ได้พบ สิ่งที่ได้รับมาดีหรือไม่ดี หรือส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างไร โดยบาดแผลที่ว่าสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้ ทำไม ทรอม่า ส่งผลต่อการใช้ชีวิตตอนโต ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่าบาดแผลในวัยเด็ก ทำไมส่งผลต่อชีวิตตอนโต ถ้าอิงจาก “ทฤษฎีลำดับขั้นของพัฒนาการ” ตามหลัก ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ได้อธิบายว่าช่วงอายุ 0 – 13 ปี นับเป็นช่วงสำคัญในการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตในทิศทางที่ดีหรือทิศทางที่ไม่ดีขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงอายุที่เด็กต้องการสิ่งใด เพราะในส่วนนี้จะเป็นช่วงที่เด็กได้เรียนรู้อะไรมากที่สุด ทั้งผ่านความคิด ผ่านอารมณ์ ผ่านพฤติกรรม จากคนที่เลี้ยงดูมาและการได้ในสิ่งที่ควรจะได้ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะส่งผลและแสดงออกมาในเชิงจิตสำนึก รู้ตัวว่ามีบาดแผลทางใจเลยเลือกแสดงพฤติกรรมผิด ๆ ไม่ผ่านการแก้ไขในทางที่ถูก และจิตใต้สำนึก สิ่งที่นึกไม่ออก จำไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วยังซ่อนอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกและเลือกทำพฤติกรรมในแบบที่ไม่รู้ตัว ลบปมปัญหา ทรอม่า บาดแผลทางใจ ในวัยเด็กได้อย่างไร การลบทรอม่าหรือปมปัญหาบาดแผลทางใจในวัยเด็ก เพื่อแก้ไขชีวิตปัจจุบันในตอนโตนับเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาทางแก้ไข เพื่อที่ว่าจะสามารถมีความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมไปในทางที่ดี สามารถใช้ชีวิตกับผู้คนได้อย่างสงบสุข และยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ๆ ในแต่ละด้านได้อย่างเหมาะสม โดยวิธีการแก้ไขบาดผลในวัยเด็กสามารถทำได้ดังนี้ Key Takeaways เมื่อได้รู้เกี่ยวกับ บาดแผลทางใจ ในวัยเด็ก หากบางสิ่งสามารถย้อนวันวานกลับไปแก้ปมปัญหานั้น ๆ ได้…