ดูแลตัวเอง ใส่ใจสุขภาพ

สวัสดีปีใหม่ ปีที่ใครหลายคนตั้งเป้าว่าต้องเป็นปีแห่งการหันมาใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้น และหากคุณเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เมื่อดูแลสุขภาพกายแล้ว ต้องห้ามพลาดที่จะหันมาดูแลสุขภาพใจด้วย ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ว่าคนในสังคมทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “Mental Health” กันมากยิ่งขึ้น หรือให้ความสำคัญต่อการหมั่นสังเกตสุขภาพจิตของตนเองเป็นระยะ ๆ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนในสังคมทุกกลุ่มได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นนอกเหนืออาการบาดเจ็บทางกายภายนอกที่เราสังเกตได้ด้วยตาเปล่า เพราะหากเราพบว่าสุขภาพจิตของเราต้องการการดูแลรักษา นั่นก็ไม่ต่างจากการบาดเจ็บเป็นแผลที่สุขภาพกาย แต่กลับกันที่นี่คือแผลที่จิตใจ…

เคยสงสัยกันไหมว่า.. ทำไมรถเข็นไอศกรีมถึงใช้เสียงกระดิ่งดังกรุ่งกริ่งทุกครั้งเมื่อต้องตามบ้านใครต่อใครในยามเย็น และเคยรู้สึกประหลาดใจบ้างไหมว่าทำไมเสียงเพลงในร้านอาหารหรือคาเฟ่ถึงมีอำนาจดึงดูดให้ลูกค้านั่งอยู่กับที่แม้จะกินอาหารเสร็จแล้วก็ตาม คนออกกำลังกายในฟิตเนสเสมือนถูกแรงกระตุ้นจากเสียงเพลงเร้าใจให้มีพลัง หรือหากคุณเป็นหนึ่งในหลายแสนล้านคนบนโลกที่พรั้งเผลอด่วนซื้อของโดยไม่สนราคาแสนแพงของสินค้าชิ้นนั้น บางทีคุณอาจตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดของเสียงเพลงเสียแล้ว Music Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่หลายธุรกิจหยิบใช้แล้วได้ผลมานาน กระทั่งโซเชียลมีเดียเข้ามาในชีวิตเราแบบเต็มตัว…

เชื่อว่าหากคุณได้ยินคำว่า Personalized marketing แล้วคงรู้สึกงุนงง นึกภาพไม่ออกว่ามันคืออะไร.. ขอให้คุณลองนึกถึงตอนคุณไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตครั้งล่าสุด บรรยากาศร้านค้าที่สะอาดสบายตา คุณภาพสินค้าที่ดี แพคเกจจิ้งน่าหยิบใช้ มีให้เลือกหลายหลาย…

หัวใจหลักของ Marketing 4.0 คือ การบูรณาการเครื่องมือทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่เกิดจากดิจิตัลเทคโนโลยีต่าง ๆ ผสมผสานเข้ากับ กลยุทธ์การตลาด จนเกิดเป็น Big…

แม้ว่าสงครามและโรคระบาดจะเริ่มซาลงกว่าแต่ก่อน ทว่ากระแสเทรนด์ดิจิทัลก็ยังคงมาแรงไม่หยุดยั้ง เพียงไม่ทันไรโลกของเราก็เริ่มพลัดเปลี่ยนจาก Digital Marketing (DM) สู่ Metaverse Marketing (MM)…

“ดีแต่ป้อ ล่อไม่เป็น” สำนวนแสบ ๆ คัน ๆ ฟังแล้วคันหู เป็นสำนวนที่ช่างเหมาะสมเหลือเกินกับกลยุทธ์สำคัญกลยุทธ์นึงในการขาย ที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ทำหน้าที่ พนักงานขาย…

Business knowledge 84%
Technology 71%
Self development 79%
Potential improvement 60%

Athena new release

การเรียนภาษาใครว่าต้องจริงจังเคร่งเครียดเสมอไป วันนี้เราได้รวบรวมแอปพลิเคชั่นเรียนภาษาต่างประเทศหรือ แอปเรียนภาษา ยอดนิยม ที่มีคะแนนรีวิวสูง ๆ ทั้งนั้น ใครหลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ผลจริง” และนอกจากเรียนภาษาที่สองหรือสามจะเป็นการพัฒนาตนเอง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลงานขององค์กรเพื่อให้ได้งานเชิงพัฒนามากขึ้น หลายองค์กรได้เลือกทำการปรับปรุงแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดผลงานเช่น KPIs โดยเปลี่ยนไปเป็นการตั้งเป้าหมายในเชิงพัฒนา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลงานแบบที่มุ่งเหตุที่ทำให้เกิดผล และผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการ มากกว่าที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานแบบงานประจำ และตัวชี้วัดผลงานที่มุ่งวัดผลเบื้องต้นเท่านั้น…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? ทําความรู้จักกับไคเซ็น (KAIZEN) เครื่องมือที่ช่วยในการทําไคเซ็นในสํานักงาน หมวดหมู่ งานบุคคล HR การทำงาน…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? สัมมนาฟรี แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2024 กับการปรับกลยุทธ์ของนักธุรกิจไทย Strategic Center ขอเชิญเข้าร่วมงาน สัมมนาธุรกิจ…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การแข่งขันทางธุรกิจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในยุคแห่งความรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Age) การบริหารเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จดูเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นทุกขณะ โดยผู้บริหารต้องเห็น 3C กล่าวคือ Change…

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย ตลอดจนการลงทุนาสร้างโปรเจคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร และแน่นอนว่ามันคีพคูลเข้ากับเทรนด์ Eco Friendly ในเจเนอเรชั่นนี้มาก…

นี่ทุกคน…มีใครมีเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย บ้างไหม ? แบบว่าพอเห็นใครทำอะไรผิดระเบียบ ไม่มีวินัย ก็พร้อมบวกอยู่เสมอ อยากบอกว่า การทำงานเป็นทีม ของทุกบริษัทมีคนแบบนั้นอยู่เสมอแหละ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีหลักการของตนเอง มีระเบียบวินัยในการทำงานสูง และมักจะคาดหวังว่าสิ่งรอบตัวจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิดและทุกคนก็ควรทำตามสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอ แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ฝ่าฝืน ผิดร่องผิดลอย ไม่เคารพกติกา บทความนี้เราได้เรียบเรียงมาจากบทหนึ่งของหนังสือจิตวิทยาว่าด้วยเรื่อง “จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน” ของ ดร. อนุสร จันทรพันธ์, ดร. บุญชัย โกศลธนากุล นำมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้กับชีวิตในที่ทำงาน อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ตัดสินหรือสรุปว่าเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย ดีหรือแย่ แต่เราจะพยายามช่วยทุกคนแยกแยะให้ออกว่าเพื่อนร่วมงานคนไหนคือขาวีน ตลอดจนสังเกตตัวเองว่าเราเองหรือเปล่านะที่เป็นขาวีนเช่นกัน และสุดท้ายงัดอาวุธสุดปังเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านั้นซะ ! คนไหนเป็นขาวีน สังเกตอย่างไร อย่างแรกสังเกตวิธีการพูด เพื่อนร่วมงานที่ขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นคนตรงไปตรงมา พูดเร็วมีพลัง เสียงดังน่าเกรงขาม ฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูนัก พูดจาไม่ฟุ้งซ่าน ตัดบทเก่ง และที่สังเกตได้ชัดเจนคือมักเป็นคนที่ชอบชี้ถูกชี้ผิด เพราะเป็นการย้ำจริตในตัวเองว่าเป็นคนยึดมั่นในหลักการ ยึดเกณฑ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ถัดมา หากสังเกตด้วยวิธีแรกไม่ได้ เพราะอาจจะเพิ่งร่วมงานกันไม่นาน ให้ทุกคนสังเกตสิ่งที่อยู่ภายนอก เช่น การแต่งกาย บุคลิก แน่นอนว่าเขาเหล่านั้นแต่งกายเป็นระเบียบ ประณีต สะอาด เสื้อผ้าโทนคัลเลอร์ฟูลหรือไม่ก็คุมเข้มไปเลยก็มี ท่าทางการเดินคล่องแคล่วรวดเร็ว เพราะรู้เป้าหมายชัดเจน ดวงตาสว่างไสว เพราะสมาธิสูง ดูมีออร่า แต่โดยปกติเท่าที่สังเกตได้คือมักอยู่ตัวคนเดียวในที่ทำงาน ไม่ค่อยมีคนติดสอยห้อยตามมากนัก จุดแข็ง vs จุดอ่อน จุดแข็ง : การทำงานเป็นทีม กับคนขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นเพื่อนร่วมงานที่อุทิศทุ่มเทให้กับการงานสูง ทำงานได้เร็ว ไม่ค่อยผิดพลาด…

หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ซึ่งเป็นประโยคที่แพร่หลายมาก ๆ ในทางพุทธศาสนา ว่ากันว่าเป็นคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ ความหมายโดยรวมคือเรื่องทุกเรื่องนั้นเริ่มต้นที่ “จิตใจ” คนเราคิดแบบไหน กำหนดจิตแบบไหน จะได้อะไรแบบนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นได้ด้วยใจ สำคัญที่ใจ และสำเร็จได้ด้วยใจ ซึ่งก็คล้ายกับหลักการของ Affirmation ที่เราจะนำมาแชร์กันผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้ Main Focus คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม

หนุ่มสาววัยทำงานที่อาจจะทำงานมาได้สักพักจนเริ่มมีความมั่นคงทางฐานะการเงิน และกำลังคิดจะใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิต หรือเป็นหนี้ก้อนโตอย่างการลงทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย เนื้อหาในบทความนี้ส่วนนึงได้เรียบเรียงจากหนังสือ “Talent of Money” by Tokio Godo ซึ่งมีข้อคิดดี ๆ ที่น่าสนใจ เป็นคำแนะนำอีกด้านหนึ่งก่อนตัดสินใจ ซื้อบ้าน ช่วยให้คุณตระหนักว่า คุณควรเช่าหรือซื้อ ? และรวมถึงนำเสนอแนวคิดง่าย ๆ ก่อนเลือกที่อยู่อาศัย อ่านจบคุณจะมีข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่คุณอาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อน ช่วยให้คิดรอบด้านได้อย่างรอบคอบ ก่อนจะตัดสินใจใช้เงินเก็บทั้งชีวิต ซื้อบ้านหรือเช่าบ้าน จั่วหัวมาแบบตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม แต่ก็บอกได้ตรง ๆ เช่นกันว่า.. ไม่สามารถฟันธงได้ว่าการซื้อบ้านหรือเช่าบ้านแบบไหนดีกว่ากัน เพราะคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านรสนิยมของแต่ละคนด้วย แต่สิ่งที่แยกสองสิ่งนี้ออกจากกันนั่นคือข้อมูลด้านความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ คำแนะนำเบื้องต้นคือหากคุณมองว่าบ้านเป็นอสังหาริมทรัยพ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ อย่างแรกเลยคือคุณต้องแยกประเด็นของ “การครอบครอง” กับ “การใช้ประโยชน์” ออกจากกันโดยปราศจากอารมณ์และความรู้สึกอยากได้ อยากมีเสียก่อน เพราะปัจจุบันไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วที่เราจะต้องอยู่อาศัยที่ใดทีนึงไปตลอดชีวิต ทางเลือกของคนเรามีมากขึ้น เราอาจโยกย้ายธุรกิจ ขยับขยายตามแหล่งทำมาหากินใหม่ ๆ หรือหากคุณเป็นพนักงานบริษัท คุณอาจเปลี่ยนงานไปยังที่ใหม่ ๆ ที่อัพเงินเดือนให้มากขึ้น หรือถ้าคุณไม่ย้ายที่ทำงาน แต่บริษัทเองก็อาจย้ายที่จากการรวบควบกิจการก็เป็นไปได้เช่นกัน.. ดังนั้น ที่ตั้ง ทำเล พื้นที่ใช้สอย หรือแบบแปลนบ้านก็ยังเปลี่ยนไปตามปัจจัยอื่น ๆ ได้ อย่างเช่น การมีลูก สถานที่ตั้งของโรงเรียนของลูก หรือในอนาคตเมื่อลูกโต คุณก็ต้องเจอปัจจัยใหม่ ๆ เพิ่ม อย่างที่ตั้งของที่ทำงานของลูก และบางครั้งตัวคุณเองก็อาจจะมีแนวคิดใหม่ ๆ อย่างต้องการย่นระยะเวลาในการเดินทางด้วยการหาที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเมืองเพื่อเร่งทำงาน หรือแม้แต่อยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากขึ้นด้วยการขยับออกมาในเขตชานเมือง เห็นได้ชัดว่าเมื่อความชอบของคุณเปลี่ยนไป แฟชั่นก็จะเปลี่ยนตาม ทรงผม เสื้อผ้าที่ใส่ก็เปลี่ยนไปตามเวลา สถานที่ และโอกาส ดังนั้นแนวความคิดที่ว่า…

หลายครั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกมา เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่พอใจที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา แต่ทุกอย่างสามารถแก้ได้ เพียงแค่เรา “เข้าใจตัวเอง” ให้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเข้าใจได้นั้น ก็ต้องมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับเสียหน่อย เพื่อการพัฒนาที่ดีและตรงจุด เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Satir Model แนวคิดทางด้านจิตวิทยาเพื่อ บำบัดจิต ที่วงการจิตแพทย์ทั่วโลกต่างก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มต้นเข้าใจตัวเอง ด้วย ซาเทียร์โมเดล บำบัดจิต ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับแนวคิดของ Satir Model กันก่อน โดยแนวคิดนี้คิดโดย เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ แพทย์บำบัดครอบครัว ที่ได้นำเรื่องของจิตใจมนุษย์มาเปรียบเทียบเป็นภูเขาน้ำแข็ง ที่ปกติจะมียอดน้ำแข็งโผล่พ้นน้ำ ในขณะที่ภูเขาน้ำแข็งส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ก้นบึ้งของมหาสมุทร โดยสามารถแบ่งชั้น ๆ ได้ดังนี้ 1. พฤติกรรมที่แสดงออกมา (Behavior) สิ่งที่เห็นได้ชัดหรือเห็นได้ด้วยตาเปล่า นั่นก็คือพฤติกรรมที่สามารถแสดงออกได้ผ่านทางคำพูด น้ำเสียง อากัปกริยา หรือการแสดงออกต่าง ๆ ที่อาจตอบสนองกับตัวเอง หรือต้องการจะสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับความรู้สึก ตัวอย่างเช่น ลูกกลับบ้านช้า ไม่เป็นไปตามที่ตกลง พ่อแม่เลยตีลูก ซาเทียร์จัดให้ส่วนนี้เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งที่พ้นน้ำ 2. ความรู้สึก (Feelings) ความรู้สึก นับว่าเป็นสิ่งที่เรารู้สึกอยู่ภายในและเลือกที่จะแสดงออกมาให้เห็น เช่น ดีใจ เสียใจ เศร้า หดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้ เหนื่อย กลัว และอื่น ๆ ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นความรู้สึก ตัวอย่างเช่น พ่อแม่โกรธลูกที่กลับบ้านช้าสุด ๆ แต่ความรู้สึกของมนุษย์ ไม่ได้มีเพียงแค่ “ความรู้สึก” ที่แสดงออกมาเท่านั้น เพราะความรู้สึกของมนุษย์มีความซับซ้อนขึ้นไปอีกว่า ความรู้สึกที่ได้เกิดขึ้น แท้จริงแล้วในใจลึก ๆ…

ทุกวันนี้การทำงานของหลาย ๆ บริษัทต่างก็มีความเข้มงวดมากขึ้น กดดันมากขึ้น และจะต้องทำตามเป้าหมายหรือกำไรให้กับบริษัทตามสมควร จนหลายครั้งก็พบว่าพนักงานหลายคนไม่มี สุขภาพจิตดี เท่าไหร่นัก และเมื่อการทำงานเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดแน่นอนว่าส่งผลต่อความเป็นอยู่ของพนักงานในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเงิน ความรัก ครอบครัว และที่สำคัญยังส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอีกด้วย ในบทความนี้จึงจะมาแนะนำวิธีการสร้างบรรยากาศในการทำงาน เพื่อส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตที่ดีให้ทุกคนได้ตามอ่านกัน ความสำคัญของการมี สุขภาพจิตดี ในที่ทำงาน ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการมี สุขภาพจิตดี ในที่ทำงานกันก่อน อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าการทำงาน 1 วัน คือใช้เวลาอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านั้นสำหรับบางคน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำอย่างมาก เพราะถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของเวลา 1 วัน ที่คนทำงานจะต้องเจอสภาพแวดล้อมที่กดดันแบบนั้น จนเป็นเหตุให้พนักงานหลายคนหมดไฟในการทำงาน เกิดการเครียดหรือความวิตกกังวล และอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นถ้าอยากให้บริษัทหรือธุรกิจของคุณไปได้ดีควรสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีก่อน เพราะถ้าหากทำให้ดีพนักงานจะมีจิตใจที่อยากทำงานด้วยความตั้งใจของตนเอง แน่นอนว่าคุณภาพการทำงานจะดีขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 4 วิธีปรับการทำงานเพื่อ สุขภาพจิตที่ดี ของคนในบริษัท 1. ออกแบบการทำงานที่ชัดเจนตรงตามหน้าที่ เวลาพนักงานเข้ามาทำงานจะมีตำแหน่งหรือหน้าที่ของตนเอง ดังนั้นทางบริษัทหรือหัวหน้างานก็ควรยึดหลักการนั้น อย่าให้งานแบบจับฉ่ายหว่านไปทั่ว ควรสร้างระบบการกระจายงานที่มีหลักการ และควร จัดตารางาน โดยดำเนินงานภายใต้ระบบนั้นอย่างมีเสถียรภาพ เพราะหากไม่มีการจัดตารางงานที่ดีหรือการแจกจ่ายงานที่ชัดเจน ไม่เพียงแต่ทำให้พนักงานได้รับภาระงานที่หนักมากยิ่งขึ้น ยังจะทำให้พวกเขาสับสนมึนงงในขอบเขตงานที่ได้รับ และท้ายที่สุดทำให้งานที่ตัวเองดูแลอยู่มีคุณภาพที่น้อยลงได้ ดังนั้นการจำกัดขอบเขตการทำงานอย่างมีระบบ การแจกจ่ายงาน ตลอดจนการกำหนดค่า KPI และรวมถึงเวลาพัก เวลาเลิกงานก็ควรตรงเวลา รักษาสิทธ์ของทุกคนให้เท่าเทียม หากมีโอทีต้องมีจ่ายเงินเพิ่มตามความเหมาะสม เพราะถ้าหากตรงนี้ไม่ชัดเจนอาจกลายเป็นการตีกรอบให้พนักงานทำงานอย่างหนักแบบไม่มีระบบได้ 2. เพิ่มความรู้สึกภาคภูมิใจและให้ความสำคัญกับพนักงาน ในการทำงานการสร้างพลังบวกให้กับพนักงานถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้ามีบรรยากาศที่ดีแน่นอนว่าสภาพจิตใจของพนักงานจะดีขึ้นด้วย โดยวิธีการนั้นคือการให้ความสำคัญกับผลงานของพนักงานที่ประสบความสำเร็จให้พนักงานรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า หรือต่อให้แม้มีพนักงานที่ทำงานล้มเหลวการให้คำปลอบใจและให้การสู้ต่อจะเป็นอะไรที่ดีกว่า เพราะถ้าหากโดนตำหนิและกล่าวโทษสักครั้งนึง หลังจากนั้นพนักงานจะไม่กล้าเสนอไอเดีย…