ดูแลตัวเอง ใส่ใจสุขภาพ

หลายครั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกมา เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่พอใจที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา แต่ทุกอย่างสามารถแก้ได้ เพียงแค่เรา “เข้าใจตัวเอง” ให้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเข้าใจได้นั้น ก็ต้องมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับเสียหน่อย เพื่อการพัฒนาที่ดีและตรงจุด เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Satir Model…

Business knowledge 84%
Technology 71%
Self development 79%
Potential improvement 60%

Athena new release

การเรียนภาษาใครว่าต้องจริงจังเคร่งเครียดเสมอไป วันนี้เราได้รวบรวมแอปพลิเคชั่นเรียนภาษาต่างประเทศหรือ แอปเรียนภาษา ยอดนิยม ที่มีคะแนนรีวิวสูง ๆ ทั้งนั้น ใครหลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ผลจริง” และนอกจากเรียนภาษาที่สองหรือสามจะเป็นการพัฒนาตนเอง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลงานขององค์กรเพื่อให้ได้งานเชิงพัฒนามากขึ้น หลายองค์กรได้เลือกทำการปรับปรุงแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดผลงานเช่น KPIs โดยเปลี่ยนไปเป็นการตั้งเป้าหมายในเชิงพัฒนา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลงานแบบที่มุ่งเหตุที่ทำให้เกิดผล และผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการ มากกว่าที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานแบบงานประจำ และตัวชี้วัดผลงานที่มุ่งวัดผลเบื้องต้นเท่านั้น…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? ทําความรู้จักกับไคเซ็น (KAIZEN) เครื่องมือที่ช่วยในการทําไคเซ็นในสํานักงาน หมวดหมู่ งานบุคคล HR การทำงาน…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? สัมมนาฟรี แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2024 กับการปรับกลยุทธ์ของนักธุรกิจไทย Strategic Center ขอเชิญเข้าร่วมงาน สัมมนาธุรกิจ…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การแข่งขันทางธุรกิจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในยุคแห่งความรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Age) การบริหารเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จดูเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นทุกขณะ โดยผู้บริหารต้องเห็น 3C กล่าวคือ Change…

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย ตลอดจนการลงทุนาสร้างโปรเจคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร และแน่นอนว่ามันคีพคูลเข้ากับเทรนด์ Eco Friendly ในเจเนอเรชั่นนี้มาก…

บทความนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้จัดการโครงการ Project Manager ทั้งหลาย ตลอดจนหัวหน้าทีม และ/รวมถึงระดับผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กเป็นอย่างยิ่ง เนื้อหาสาระด้าน Soft Skill ในการจัดสรรคนให้เหมาะสมกับงานนี้ หรือที่เราคุ้นหูกันในวลีเท่ห์ ๆ อย่าง “Put the Right Man on the Right Job” นั่นคือการใส่ใจเรื่องการจัดสรรบุคคล ในการเลือกคนที่จะมาทำงานให้เราได้อย่าง เหมาะสม ทั้งด้านเวลาและความสามารถ ที่สำคัญสกิลของคนก็ต้อง แมชชิ่ง กับงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ จบงานกันอย่าง แฮปปี้เอนดิ้ง ทั้งผู้มอบหมายงานและผู้รับงาน จะเห็นได้ว่าสิ่งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก และเป็นสกิลสำคัญที่ผู้มอบหมายงานทุกคนต้องเรียนรู้ เพราะถ้าหากเลือกคนผิด แทนที่จะช่วยกันทำให้ธุรกิจเติบโต อาจเสียงานและกลายเป็นล่มจมได้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจากฐานธุรกิจของคุณอาจยังไม่แข็งแรงพอ ดังนั้นสรุปกันอีกครั้งว่าในบทความนี้จะมาว่าด้วยเรื่อง “วิธีเลือกคนทำงาน” อย่างไรถึงจะมีคุณภาพ และช่วยกันพาธุรกิจของคุณเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว 7 วิธีเลือกคนทำงาน “Put the Right Man on the Right Job” เลือกเฟ้นอย่างไรถึงได้คนที่มีคุณภาพ 1.เลือกคนทำงานที่มีความสามารถแบบตัว T (T-shaped skills) เมื่อคุณอยากจะหาคนมาร่วมงาน แนะนำว่าต้องหาคนที่มีความสามารถแบบตัว T ตามธุรกิจที่คุณทำอยู่ ซึ่งความหมายของตัว T ที่ว่านี้ก็คือจำเป็นจะต้องรู้กว้างในสายงานของคุณหรือก็คือเป็น “เป็ด” แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ลึกด้วยหรือก็คือมีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษที่เรียกว่า “Specialist” ในตำแหน่งที่คุณได้เปิดรับสมัครมานั่นเอง เพราะถ้าหากไม่เป็นตัว T การพัฒนาธุรกิจจะล่าช้ากว่าการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน 2. ทดสอบการทำงานจริงตอนเรียกสัมภาษณ์ วิธีเลือกคนทำงาน ที่ง่ายที่สุดและเห็นผลได้จริงที่สุด นั่นก็คือทดสอบการทำงานจริงในตอนที่เรียกสัมภาษณ์เลย โดยคุณสามารถให้โจทย์ทำเป็นข้อสอบข้อเขียนก็ได้ ในขณะเดียวกันถ้าเป็นงานภาคปฏิบัติก็สามารถลุยให้ทำจริงได้ในทันที ในจุดนี้จะเป็นตัวชี้ขาดว่า ผู้ที่สมัครงานเข้ามามีความสามารถที่เพียงพอหรือไม่…

การเรียนภาษาใครว่าต้องจริงจังเคร่งเครียดเสมอไป วันนี้เราได้รวบรวมแอปพลิเคชั่นเรียนภาษาต่างประเทศหรือ แอปเรียนภาษา ยอดนิยม ที่มีคะแนนรีวิวสูง ๆ ทั้งนั้น ใครหลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ได้ผลจริง” และนอกจากเรียนภาษาที่สองหรือสามจะเป็นการพัฒนาตนเอง เพิ่มสกิลและศักยภาพในการทำงานแล้ว ขอบอกเลยว่าการเลือกเรียนภาษาผ่านแอปพลิเคชั่นแบบออนไลน์นั้น สะดวก ประหยัดค่าเดินทาง และยังแฝงไปด้วยความสนุกเพลิดเพลิน อีกทั้งยังช่วยสร้างการจดจำได้ดีกว่าบทเรียนเล่มหนา ๆ ที่ต้องนั่งท่องจำแต่ไม่เคยได้ออกเสียงหรือเขียนจริง ซึ่งแอปเหล่านี้ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ทักษะในการเรียนพัฒนาได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย 7 แอปเรียนภาษา ทั้งสนุกและได้ความรู้ แอปเรียนภาษา หรือแอปพลิเคชั่นเรียนภาษาต่างประเทศที่เราคัดมาให้วันนี้ถือเป็นตัวช่วยดี ๆ ที่จะมาช่วยเสริมสร้างทักษะทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเจ้าของภาษาได้จริงผ่านการแชร์ในคอมมูนิตี้ และในรูปแบบอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ ! จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย 1. Duolingo คงไม่มีใครไม่รู้จักแอปเรียนรู้ภาษายอดนิยมอย่าง Duolingo ที่ตัวแอปจะมีความเหมาะกับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศตั้งแต่ในระดับพื้นฐาน เพราะภายในตัวแอปนอกจากสาระความรู้เกี่ยวกับภาษาต่างประเทศแล้วยังได้ทั้งความสนุกจากภารกิจและกิจกรรมส่งเสริมการใช้ภาษาในรูปแบบของเกมให้ผู้ใช้งานได้ลองใช้ เช่น เกมการตอบคำถาม เกมฝึกการฟังเสียง หรือฝึกแปลภาษา ที่จะช่วยพัฒนาและกระตุ้นสมองให้เกิดการเรียนรู้และการจดจำที่ไวกว่าการเรียนแบบท่องจำทั่วไป ที่สำคัญยังมีการแจ้งเตือนให้เรามาเรียนทุกวันกันอีกด้วย 2. Memrise อีกหนึ่ง แอปเรียนภาษา ยอดฮิตที่เน้นการเรียนรู้ภาษาในรูปแบบการจดจำคำศัพท์และไวยากรณ์ภาษา ผ่านเกมจับคู่ศัพท์และเกมช่วยเสริมความจำอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำศัพท์ไปใช้งานได้จริงในระยะยาว รวมถึงตัวแอปมีการผสมผสานเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยพัฒนาการเรียนรู้ ให้ผู้ใช้งานสามารถฝึกฝนภาษาอังกฤษกับติวเตอร์-เอไอ (Membot) แบบตัวต่อตัวอีกด้วย ถือว่าเป็นนวัตกรรมล้ำๆ ที่ทำให้คุณสนุกสนานเพลิดเพลินได้อย่างเต็มที่ 3. CAKE แอปพลิเคชั่นเรียนภาษาภาษาจากวิดีโอที่มีชื่อน่ารัก ๆ อย่าง CAKE เป็นอีกหนึ่งแอปที่ช่วยฝึกด้านสำนวนภาษาอังกฤษและเกาหลีผ่านบทเรียนที่เป็นระบบมินิเกม ทำให้เกิดการเรียนรู้ จดจำ พร้อมกับความเพลินเพลินสนุกสนาน นอกจากนั้นในแอปยังมี Lesson ให้เลือกเรียนตามหัวข้อต่าง ๆ กับเจ้าของภาษาและทดสอบความสามารถผ่านควิซภายในแอป เรียกได้ว่าครบ จบ ที่แอปเดียวเลย…

หากเราตั้งคำถามกับตัวบุคคลในด้าน การทำงาน ว่า จะทำงานอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ? หรือทำอย่างไรให้ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น ?.. เชื่อว่าคำถามเหล่านี้ตอบยากมาก ๆ เพราะการพัฒนาการทำงานหรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าในปัจจุบันการทำงานของคนยุคใหม่ล้วนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใน การทำงาน อยู่เสมอก็ตาม แต่นั่นก็ไม่วายต้องพบกับอุปสรรคที่เกิดจากปัญหาตัวบุคคล นั่นก็เพราะมนุษย์มิใช่เครื่องจักร ไม่สามารถทำงานอย่างมีสเถียรภาพได้ในทุกวัน ปัญหายอดฮิตที่มักพบ เช่น การบริหารเวลาไม่ดี ปัญหาการจัดการเรื่องส่วนตัว จัดลำดับความสำคัญงานไม่ถูกต้อง ขาดทักษะการสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน สิ่งเหล่านี้จึงทำให้งานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ Main Focus คอร์สอบรมแนะนำจาก อบรมดอทคอม

ปัจจัยนึงที่สำคัญของคนเราไม่แพ้อาหารและยา นั่นคือ “ความรัก” บนพื้นฐานของคนสองคน ความรู้สึกดีต่อกัน ความสุข ชุ่มฉ่ำ เบิกบานใจ ที่มาในรูปแบบความสัมพันธ์ของ “แฟน” หรือ “คู่ชีวิต” แต่ความสุขนั้นไม่ได้ได้มาง่าย ๆ เพราะการจะมาเป็นคนรักกันจริง ๆ จะต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ซึ่งมันไม่ได้มีแค่ความสุขเท่านั้น ยังมีความทุกข์ที่สลับไปมาให้ทุกคู่ได้ลิ้มรสสัมผัส บางคู่เมื่อประสบปัญหาก็อาจถอยหนี แต่บางคู่พยายามฟันฝ่าเพื่อรักษาความรักนั้นให้คงอยู่ ด้วยความยึดมั่นในศรัทธาเพื่อหวังเห็นแสงสว่างของอุโมงค์ปลายทาง อย่างไรก็ตามความรักก็ยังคงสวยงามเสมอ.. และในบทความนี้เราจะมาขยายความกันว่า แนวทางเพื่อไปถึงแสงสว่างที่ปลายทางตามแบบฉบับของคนทั่วไปนั้นเขาทำกันอย่างไร เพื่อที่ทุกช่วงวัยของเราจะได้เติมเต็มกันและกัน เริ่มต้นจากป๊อปปี้เลิฟ เข้าสู่รักวัยใส ไปจนก้าวข้ามอุปสรรคและเป็นรักที่มั่นคงตราบสิ้นลมหายใจของกันและกัน หันหน้ามองแฟนของคุณและเริ่มต้นสร้างนิยามของ “ความรัก” ของกันและกัน เชื่อเลยว่าแต่ละคู่ที่ตัดสินใจเป็นแฟนกัน จะมีเหตุผลของการคบหาที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ในทุกคู่ควรจะ “นิยามความรัก” หรือ “นิยามความสัมพันธ์” ของคู่ตัวเองว่าเป็นอย่างไรเสียก่อน คู่ไหนยังไม่เคยคิดเรื่องนึ้ ให้ลองหันหน้าหาคนรักของคุณและพูดคุยกันดู.. เพื่อที่จะได้รู้ว่าอะไรคือ “เป้าหมายของความรัก” ที่คุณทั้งสองจะเดินหน้าไปด้วยกัน เหมือนกับการปักหมุดบนแผนที่เพื่อจะไปถึงจุดหมายปลายทาง.. ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคู่รักมักนิยาความรักไว้ประมาณนี้ หากนิยามหรือเป้าหมายของคุณทั้งสองไม่ตรงกัน ขอให้คุยกันและปรับจูนกันอย่างมีเหตุและผล ไม่เอาแต่ใจ นี่แหละปัญหาแรกที่ความรักมันท้าทายคุณให้ก้าวข้ามก่อนไปเจอแสงสว่างที่ปลายทาง เรียนรู้ “ความรัก” แต่ละช่วงวัย เพื่อสานสัมพันธ์ให้ยั่งยืน ทีนี้เมื่อได้รู้ว่า “นิยามความรัก” ของแต่คู่ของคุณเป็นอย่างไรแล้ว ก็อยากให้ยึดมั่นตรงนั้นไปเรื่อย ๆ จะเป็นการช่วยประคองความรักให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ และถ้าหากอยากจะเปลี่ยนนิยามความรักก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ในเนื้อหาส่วนนี้ก็จะขอพาคุณไปทำความเข้าใจ “ความรักแต่ละช่วงวัย” มีลักษณะอย่างไร และจะเปลี่ยนผ่านไปช่วงต่อไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความรักให้ยืนยาว มัธยมฟีลป๊อปปี้เลิฟ ช่วงนี้นับว่าใคร ๆ ต่างก็ต้องมีป็อปปี้เลิฟที่อาจจะแอบชอบใครสักคน โดยพื้นฐานส่วนใหญ่ในช่วงวัยนี้ของการมีแฟนก็จะกรี๊ดกราดกันที่หน้าตาหรือรูปลักษณ์ภายนอก หรือหากใครมีความสามารถด้านดนตรีหรือกีฬาและมีโอกาสได้โชว์อ๊อฟที่โรงเรียนแล้วละก็ สิ่งนี้ดึงดูดให้เพศตรงข้ามพร้อมมอบความรักให้ได้ แต่ที่พบบ่อย ๆ ในวัยนี้คือความสัมพันธ์กุ๊กกิ๊กมักเริ่มจากการเป็นเพื่อน แต่อยู่ ๆ ก็ใจเต้นตึกตักคิดกันเกินเพื่อนซะงั้น คบกันได้ไม่นานพอเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัยก็มักจะเลิกลากัน…

นี่ทุกคน…มีใครมีเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย บ้างไหม ? แบบว่าพอเห็นใครทำอะไรผิดระเบียบ ไม่มีวินัย ก็พร้อมบวกอยู่เสมอ อยากบอกว่า การทำงานเป็นทีม ของทุกบริษัทมีคนแบบนั้นอยู่เสมอแหละ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีหลักการของตนเอง มีระเบียบวินัยในการทำงานสูง และมักจะคาดหวังว่าสิ่งรอบตัวจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิดและทุกคนก็ควรทำตามสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอ แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ฝ่าฝืน ผิดร่องผิดลอย ไม่เคารพกติกา บทความนี้เราได้เรียบเรียงมาจากบทหนึ่งของหนังสือจิตวิทยาว่าด้วยเรื่อง “จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน” ของ ดร. อนุสร จันทรพันธ์, ดร. บุญชัย โกศลธนากุล นำมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้กับชีวิตในที่ทำงาน อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ตัดสินหรือสรุปว่าเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย ดีหรือแย่ แต่เราจะพยายามช่วยทุกคนแยกแยะให้ออกว่าเพื่อนร่วมงานคนไหนคือขาวีน ตลอดจนสังเกตตัวเองว่าเราเองหรือเปล่านะที่เป็นขาวีนเช่นกัน และสุดท้ายงัดอาวุธสุดปังเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านั้นซะ ! คนไหนเป็นขาวีน สังเกตอย่างไร อย่างแรกสังเกตวิธีการพูด เพื่อนร่วมงานที่ขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นคนตรงไปตรงมา พูดเร็วมีพลัง เสียงดังน่าเกรงขาม ฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูนัก พูดจาไม่ฟุ้งซ่าน ตัดบทเก่ง และที่สังเกตได้ชัดเจนคือมักเป็นคนที่ชอบชี้ถูกชี้ผิด เพราะเป็นการย้ำจริตในตัวเองว่าเป็นคนยึดมั่นในหลักการ ยึดเกณฑ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ถัดมา หากสังเกตด้วยวิธีแรกไม่ได้ เพราะอาจจะเพิ่งร่วมงานกันไม่นาน ให้ทุกคนสังเกตสิ่งที่อยู่ภายนอก เช่น การแต่งกาย บุคลิก แน่นอนว่าเขาเหล่านั้นแต่งกายเป็นระเบียบ ประณีต สะอาด เสื้อผ้าโทนคัลเลอร์ฟูลหรือไม่ก็คุมเข้มไปเลยก็มี ท่าทางการเดินคล่องแคล่วรวดเร็ว เพราะรู้เป้าหมายชัดเจน ดวงตาสว่างไสว เพราะสมาธิสูง ดูมีออร่า แต่โดยปกติเท่าที่สังเกตได้คือมักอยู่ตัวคนเดียวในที่ทำงาน ไม่ค่อยมีคนติดสอยห้อยตามมากนัก จุดแข็ง vs จุดอ่อน จุดแข็ง : การทำงานเป็นทีม กับคนขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นเพื่อนร่วมงานที่อุทิศทุ่มเทให้กับการงานสูง ทำงานได้เร็ว ไม่ค่อยผิดพลาด…