*Trendy Now

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความร้อนแรงของ House of the Dragon ซีรีส์ยอดนิยมส่งท้ายปี ดีไม่แพ้ซีรีส์ในสตอรี่ไลน์เดียวกันอย่าง Game of Thrones และเชื่อไหมว่า.. เพียงแค่ซีซันที่หนึ่งก็สามารถโกยสกอร์จากบ้าน imdb ไปถึง 8.6/10 และจาก Rotten Tomatoes 86% หากคุณเป็นคนนึงที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่าตัวละครใน House of the Dragon มีความโดดเด่นและบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของตัวละครนึงมักพาคุณไปเจอประเด็นต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้น ซับซ้อนแต่ก็สอดประสานกันได้อย่างสนุก…

*รักโลก รักสุขภาพ

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย…

Business knowledge 77%
Technology 71%
Self development 90%
Potential improvement 86%

Athena new release

ถอดบทเรียน “ธุรกิจเจ๊ง” เช็คความเสี่ยงว่าธุรกิจคุณเข้าขั้นวิกฤตแล้วหรือยัง ? ปกติแล้วบทความส่วนใหญ่จะให้หนทางทำอย่างไรก็ได้ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำเคล็ดลับต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าหากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจหรือทำธุรกิจแล้วกำลังประสบกับความเสี่ยงในการทำให้ ธุรกิจเจ๊ง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? Convincing จิตวิทยาและวาทศิลป์ในการโน้มน้าวใจ “เคล็ดลับ! การโน้มน้าวใจคนให้สำเร็จ ด้วยเทคนิคเชิงจิตวิทยาและศิลปะการพูด”หลักการและเหตุผลการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันหลากหลายองค์กรต่างเห็นความสำคัญถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์”บุคลากร”ทางด้านทัศนคติกระบวนการความคิดให้เกิดความสุขในการทำงาน องค์กรจึงต้องนำศาสตร์และศิลป์ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ การจูงใจ การเจรจาต่อรอง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? หลักสูตร Generative AI for Productivity เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting…

เปิดรับสมัครแล้ว คอร์สเรียนออนไลน์ “ก้าวแรกสู่ การพูดในที่สาธารณะ” คอร์สเรียนทักษะการพูดในที่สาธารณะที่โฟกัสตรงจุด ทำให้คุณพัฒนาทักษะการพูดเป็นเร็วขึ้น SPEAK SPARK ได้กลั่นกรอง “ศาสตร์และศิลป์”…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลงานขององค์กรเพื่อให้ได้งานเชิงพัฒนามากขึ้น หลายองค์กรได้เลือกทำการปรับปรุงแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดผลงานเช่น KPIs โดยเปลี่ยนไปเป็นการตั้งเป้าหมายในเชิงพัฒนา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลงานแบบที่มุ่งเหตุที่ทำให้เกิดผล และผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการ มากกว่าที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานแบบงานประจำ และตัวชี้วัดผลงานที่มุ่งวัดผลเบื้องต้นเท่านั้น…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? ทําความรู้จักกับไคเซ็น (KAIZEN) เครื่องมือที่ช่วยในการทําไคเซ็นในสํานักงาน หมวดหมู่ งานบุคคล HR การทำงาน…

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย ตลอดจนการลงทุนาสร้างโปรเจคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร และแน่นอนว่ามันคีพคูลเข้ากับเทรนด์ Eco Friendly ในเจเนอเรชั่นนี้มาก…

หากคุณเป็นคนนึงที่เพิ่งเรียนจบกำลังจะเริ่มทำงาน หรือเคยทำงานมาแล้วแต่กำลังจะย้ายไปที่ทำงานใหม่ เชื่อว่าคุณต้องมีความประหม่ากับเส้นทางเดินใหม่ของชีวิตนี้อยู่บ้าง ข้อคิดที่น่าสนใจคือ.. คุณที่ได้สวมหมวกพนักงานใหม่ต้องทำอย่างไรที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ “เพื่อนร่วมงาน” คุณควรจะวางตัวแบบไหนให้เหมาะสมกับสังคมและสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เพราะต่อให้งานที่ทำหรือบริษัทจะดีแค่ไหน แต่การสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือคอนเนคชั่นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากคุณเจอเพื่อนร่วมงานที่ดี พวกเขาก็พร้อมช่วยเหลือ พร้อมผลักดัน หรืออย่างแย่คือต่อให้เขาเหล่านั้นไม่ค่อยโอเคสำหรับคุณ แต่หากคุณอยู่เป็นหรือวางตัวได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปด้วยดีได้เช่นกัน วิธีง่าย ๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ “เพื่อนร่วมงาน” กรณีที่คุณเป็น New Joiner ของบริษัทหรือเพิ่งเข้ามาทำงาน ดังนั้นเนื้อหาส่วนนี้จะแนะนำวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานใหม่ ซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะ First impression จะเป็นสิ่งที่คนเราจดจำได้ดีที่สุดเมื่อได้รู้จักใครบางคน และอาจจะพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ในทิศทางที่ดี และอาจเสริมให้หน้าที่การงานให้เป็นไปในทิศทางที่ดีด้วยเช่นกัน ขอให้คุณเปิดใจก่อนศึกษาวิธีดังต่อไปนี้ 1. ทักทายและตั้งคำถามที่รีแล็กซ์ สำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาทำงานในวันแรก คุณควรทักทายทุกคนที่จำเป็นต้องทำงานด้วย เราขอเน้นว่า “คนที่ต้องทำงานด้วย” เราไม่ได้อยากให้คุณทักทายใครก็ได้ไปเรื่อย เพราะมันจะดูแปลกประหลาดในสายตาคนอื่นที่มองคุณในฐานะที่เป็นพนักงานน้องใหม่ และอยากให้คุณเน้นเรื่องของการแสดงความจริงใจและรอยยิ้ม นอกจากนี้.. หากสามารถทำได้ก็ขอแนะนำให้ถามเกี่ยวกับการทำงานทั่ว ๆ ไปกับคู่สนทนา ไม่ต้องลงรายละเอียดมากนัก และคุณก็ควรหาจังหวะบอกข้อมูลของตัวเองโดยไม่ต้องลงรายละเอียดมากด้วยเช่นกัน จากนั้นคุณอาจจะลองเริ่มบทสนทนาเรื่องรีแล็กซ์ทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นว่า “ปกติกินข้าวกันที่ไหน” “การเดินทางมาทำงานเป็นอย่างไร” สิ่งเหล่านี้คือเบื้องต้นที่ควรจะทำในการสร้างความสัมพันธ์ ในตอนที่เพิ่งเข้าทำงานวันแรก ๆ กับเพื่อนร่วมงาน 2. เสนอความช่วยเหลืออย่างพอดี การให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน นับเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แต่อย่าลืมว่าคุณจะต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จก่อน และถ้ามีเวลาเหลือก็สามารถเสนอตัวเข้าไปช่วยได้ หรือถ้าหากมีใครต้องการขอความช่วยเหลือ และถ้าคุณสามารถช่วยเหลือได้โดยที่ไม่ทำให้งานของตัวเองเสีย ก็ให้รีบตอบรับในทันที เมื่อรับปากแล้วคุณควรพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในจุดนี้จะเปิดโอกาสให้คุณได้รู้จักเพื่อนร่วมงานดีมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับข้อนี้.. อยากให้ข้อคิดกับคุณว่า นิสัยใจคอของคนเรานั้นมากมายหลากหลาย หากคุณพบว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นของคุณร้องขอความช่วยเหลือบ่อย ๆ ในชนิดที่คุณเริ่มเอะใจแล้วว่าคือการเอาเปรียบ ให้คุณรีบถอยออกมา และปฏิเสธอย่างมีมารยาท 3. Team is…

ทุกวันนี้การทำงานของหลาย ๆ บริษัทต่างก็มีความเข้มงวดมากขึ้น กดดันมากขึ้น และจะต้องทำตามเป้าหมายหรือกำไรให้กับบริษัทตามสมควร จนหลายครั้งก็พบว่าพนักงานหลายคนไม่มี สุขภาพจิตดี เท่าไหร่นัก และเมื่อการทำงานเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดแน่นอนว่าส่งผลต่อความเป็นอยู่ของพนักงานในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเงิน ความรัก ครอบครัว และที่สำคัญยังส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอีกด้วย ในบทความนี้จึงจะมาแนะนำวิธีการสร้างบรรยากาศในการทำงาน เพื่อส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตที่ดีให้ทุกคนได้ตามอ่านกัน ความสำคัญของการมี สุขภาพจิตดี ในที่ทำงาน ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการมี สุขภาพจิตดี ในที่ทำงานกันก่อน อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าการทำงาน 1 วัน คือใช้เวลาอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านั้นสำหรับบางคน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำอย่างมาก เพราะถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของเวลา 1 วัน ที่คนทำงานจะต้องเจอสภาพแวดล้อมที่กดดันแบบนั้น จนเป็นเหตุให้พนักงานหลายคนหมดไฟในการทำงาน เกิดการเครียดหรือความวิตกกังวล และอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นถ้าอยากให้บริษัทหรือธุรกิจของคุณไปได้ดีควรสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีก่อน เพราะถ้าหากทำให้ดีพนักงานจะมีจิตใจที่อยากทำงานด้วยความตั้งใจของตนเอง แน่นอนว่าคุณภาพการทำงานจะดีขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 4 วิธีปรับการทำงานเพื่อ สุขภาพจิตที่ดี ของคนในบริษัท 1. ออกแบบการทำงานที่ชัดเจนตรงตามหน้าที่ เวลาพนักงานเข้ามาทำงานจะมีตำแหน่งหรือหน้าที่ของตนเอง ดังนั้นทางบริษัทหรือหัวหน้างานก็ควรยึดหลักการนั้น อย่าให้งานแบบจับฉ่ายหว่านไปทั่ว ควรสร้างระบบการกระจายงานที่มีหลักการ และควร จัดตารางาน โดยดำเนินงานภายใต้ระบบนั้นอย่างมีเสถียรภาพ เพราะหากไม่มีการจัดตารางงานที่ดีหรือการแจกจ่ายงานที่ชัดเจน ไม่เพียงแต่ทำให้พนักงานได้รับภาระงานที่หนักมากยิ่งขึ้น ยังจะทำให้พวกเขาสับสนมึนงงในขอบเขตงานที่ได้รับ และท้ายที่สุดทำให้งานที่ตัวเองดูแลอยู่มีคุณภาพที่น้อยลงได้ ดังนั้นการจำกัดขอบเขตการทำงานอย่างมีระบบ การแจกจ่ายงาน ตลอดจนการกำหนดค่า KPI และรวมถึงเวลาพัก เวลาเลิกงานก็ควรตรงเวลา รักษาสิทธ์ของทุกคนให้เท่าเทียม หากมีโอทีต้องมีจ่ายเงินเพิ่มตามความเหมาะสม เพราะถ้าหากตรงนี้ไม่ชัดเจนอาจกลายเป็นการตีกรอบให้พนักงานทำงานอย่างหนักแบบไม่มีระบบได้ 2. เพิ่มความรู้สึกภาคภูมิใจและให้ความสำคัญกับพนักงาน ในการทำงานการสร้างพลังบวกให้กับพนักงานถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้ามีบรรยากาศที่ดีแน่นอนว่าสภาพจิตใจของพนักงานจะดีขึ้นด้วย โดยวิธีการนั้นคือการให้ความสำคัญกับผลงานของพนักงานที่ประสบความสำเร็จให้พนักงานรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า หรือต่อให้แม้มีพนักงานที่ทำงานล้มเหลวการให้คำปลอบใจและให้การสู้ต่อจะเป็นอะไรที่ดีกว่า เพราะถ้าหากโดนตำหนิและกล่าวโทษสักครั้งนึง หลังจากนั้นพนักงานจะไม่กล้าเสนอไอเดีย…

นี่ทุกคน…มีใครมีเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย บ้างไหม ? แบบว่าพอเห็นใครทำอะไรผิดระเบียบ ไม่มีวินัย ก็พร้อมบวกอยู่เสมอ อยากบอกว่า การทำงานเป็นทีม ของทุกบริษัทมีคนแบบนั้นอยู่เสมอแหละ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีหลักการของตนเอง มีระเบียบวินัยในการทำงานสูง และมักจะคาดหวังว่าสิ่งรอบตัวจะเป็นอย่างที่ตัวเองคิดและทุกคนก็ควรทำตามสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เสมอ แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ฝ่าฝืน ผิดร่องผิดลอย ไม่เคารพกติกา บทความนี้เราได้เรียบเรียงมาจากบทหนึ่งของหนังสือจิตวิทยาว่าด้วยเรื่อง “จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน” ของ ดร. อนุสร จันทรพันธ์, ดร. บุญชัย โกศลธนากุล นำมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้กับชีวิตในที่ทำงาน อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ตัดสินหรือสรุปว่าเพื่อนร่วมงานขี้วีน โกรธง่าย ดีหรือแย่ แต่เราจะพยายามช่วยทุกคนแยกแยะให้ออกว่าเพื่อนร่วมงานคนไหนคือขาวีน ตลอดจนสังเกตตัวเองว่าเราเองหรือเปล่านะที่เป็นขาวีนเช่นกัน และสุดท้ายงัดอาวุธสุดปังเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านั้นซะ ! คนไหนเป็นขาวีน สังเกตอย่างไร อย่างแรกสังเกตวิธีการพูด เพื่อนร่วมงานที่ขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นคนตรงไปตรงมา พูดเร็วมีพลัง เสียงดังน่าเกรงขาม ฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูนัก พูดจาไม่ฟุ้งซ่าน ตัดบทเก่ง และที่สังเกตได้ชัดเจนคือมักเป็นคนที่ชอบชี้ถูกชี้ผิด เพราะเป็นการย้ำจริตในตัวเองว่าเป็นคนยึดมั่นในหลักการ ยึดเกณฑ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ถัดมา หากสังเกตด้วยวิธีแรกไม่ได้ เพราะอาจจะเพิ่งร่วมงานกันไม่นาน ให้ทุกคนสังเกตสิ่งที่อยู่ภายนอก เช่น การแต่งกาย บุคลิก แน่นอนว่าเขาเหล่านั้นแต่งกายเป็นระเบียบ ประณีต สะอาด เสื้อผ้าโทนคัลเลอร์ฟูลหรือไม่ก็คุมเข้มไปเลยก็มี ท่าทางการเดินคล่องแคล่วรวดเร็ว เพราะรู้เป้าหมายชัดเจน ดวงตาสว่างไสว เพราะสมาธิสูง ดูมีออร่า แต่โดยปกติเท่าที่สังเกตได้คือมักอยู่ตัวคนเดียวในที่ทำงาน ไม่ค่อยมีคนติดสอยห้อยตามมากนัก จุดแข็ง vs จุดอ่อน จุดแข็ง : การทำงานเป็นทีม กับคนขี้วีน โกรธง่าย มักเป็นเพื่อนร่วมงานที่อุทิศทุ่มเทให้กับการงานสูง ทำงานได้เร็ว ไม่ค่อยผิดพลาด…

Growth Mindset กรอบความคิดที่เชื่อว่า ทุกคนนั้นมีความเก่งและสามารถเติบโตได้อีกเรื่อย ๆ สกิลสำคัญที่คนยุคนี้ต้องเรีนยรู้และมีไว้เพื่อเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวล้ำ ทันสมัย และด้วยวิธีการปลูกฝัง Growth Mindset เพื่อให้ชีวิตไม่มีลิมิตในทุกด้าน บทความนี้พบกับการนำเสนอกรอบความคิดที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับการเรียนรู้แบบง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ จะมีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย คิดแบบ Growth Mindset คืออะไรมาหาคำตอบกัน ! คำว่า Growth Mindset (โกรท มายเซ็ท) คีย์หลักจะหมายความว่า เชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถพัฒนา ได้เสมอ หากฝึกฝนและพยายามในสิ่งใดก็ตาม เราสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยความพยายาม พร้อมทั้งใช้เวลากับมันด้วยความตั้งใจ เป็นกรอบแนวคิดที่หลุดพ้นจากความตายตัว หรือ Fixed Mindset (ฟิก มายเซ็ท) ที่แต่เดิมเชื่อว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับความสามารถ หรือพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ทำให้ยึดติดอยู่กับขีดความสามารถที่จำกัดของตัวเอง ความคิดแบบ Growth Mindset แตกต่างจาก Fixed Mindset อย่างไร ความคิดแบบ Growth Mindset รู้จักกการมองหาโอกาสในสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะเป็น Mindset ที่ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวเสมอ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง ผู้ที่มี Growth Mindset จะคิดพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับโอกาสที่เข้ามา ผ่านการเรียนรู้จากความผิดพลาด หรือแม้แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายก็สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองและก้าวข้ามผ่านมันได้ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดแบบ Fixed Mindset ที่ยึดติดอยู่กับความล้มเหลว มีมุมมองกับสิ่งต่าง ๆ…

ทุกคนมีเวลาใน 1 วันเท่ากับ 24 ชั่วโมง แต่ว่าชีวิตและหน้าที่ของเรานั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่ไม่สามารถจัดแจงเวลาของตัวเองได้ ก็อยากจะขอแนะนำวิธี Work Life Balance ที่จะมาช่วยจัดการชีวิตที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ให้กลับมาเป็นระเบียบ และสามารถมีเวลาว่างเพียงพอให้คุณได้ไปทำกิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบ งานอดิเรกอื่น ๆ หรือจะอยู่กับครอบครัวและคนรอบข้างก็ได้เช่นเดียวกัน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนบ้าง.. เลือกใช้ให้เหมาะปรับใช้ให้เเมชกับคุณ ! รวมวิธีเด็ด Work Life Balance ปรับให้เข้ากับสไตล์คุณ ก่อนอื่นต้องบอกว่าการ Work Life Balance ของแต่ละคนจะไม่มีทางเหมือนกัน แต่จะมีวิธีการหรือสูตรสำเร็จที่คล้ายกัน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคุณได้ ซึ่งสูตรที่จะแนะนำต่อไปนี้นับว่าเป็นวิธีที่นิยมที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ และแต่ละสูตรก็มีประสิทธิภาพมาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือจำเป็นต้องเริ่มที่การ ปรับ mindset หรือกรอบความคิดของตัวเองให้ได้ก่อน จำไว้ว่า.. มิติของชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่เรื่องงาน แต่ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าหากปรับ mindset ไม่ได้ ต่อให้สูตรใด ๆ วิเศษแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จอย่างแน่นอน 1. สูตรแบ่งเวลา 8 + 8 + 8 = 24 ชั่วโมง สูตรแรกนับว่าเป็นนาฬิกาชีวิตที่ทุกคนพอจะรู้จักกันอยู่แล้ว นั่นก็คือ นอนหลับเป็นเวลา 8 ชั่วโมง , ทำงาน 8 ชั่วโมง และทำกิจกรรมอื่น ๆ อีก 8 ชั่วโมง วิธีนี้ถือเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วของการทำ Work Life Balance แต่จะต้องกำหนดเวลาในแต่ละส่วนให้ชัดเจนอย่างดี ไม่มีการผ่อนผันหรือผ่อนปรนใด ๆ…