*Trendy Now

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความร้อนแรงของ House of the Dragon ซีรีส์ยอดนิยมส่งท้ายปี ดีไม่แพ้ซีรีส์ในสตอรี่ไลน์เดียวกันอย่าง Game of Thrones และเชื่อไหมว่า.. เพียงแค่ซีซันที่หนึ่งก็สามารถโกยสกอร์จากบ้าน imdb ไปถึง 8.6/10 และจาก Rotten Tomatoes 86% หากคุณเป็นคนนึงที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่าตัวละครใน House of the Dragon มีความโดดเด่นและบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของตัวละครนึงมักพาคุณไปเจอประเด็นต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้น ซับซ้อนแต่ก็สอดประสานกันได้อย่างสนุก…

*รักโลก รักสุขภาพ

หลายครั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกมา เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่พอใจที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา แต่ทุกอย่างสามารถแก้ได้ เพียงแค่เรา “เข้าใจตัวเอง” ให้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเข้าใจได้นั้น ก็ต้องมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับเสียหน่อย เพื่อการพัฒนาที่ดีและตรงจุด เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Satir Model…

Business knowledge 77%
Technology 71%
Self development 90%
Potential improvement 86%

Athena new release

ถอดบทเรียน “ธุรกิจเจ๊ง” เช็คความเสี่ยงว่าธุรกิจคุณเข้าขั้นวิกฤตแล้วหรือยัง ? ปกติแล้วบทความส่วนใหญ่จะให้หนทางทำอย่างไรก็ได้ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำเคล็ดลับต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าหากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจหรือทำธุรกิจแล้วกำลังประสบกับความเสี่ยงในการทำให้ ธุรกิจเจ๊ง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? Convincing จิตวิทยาและวาทศิลป์ในการโน้มน้าวใจ “เคล็ดลับ! การโน้มน้าวใจคนให้สำเร็จ ด้วยเทคนิคเชิงจิตวิทยาและศิลปะการพูด”หลักการและเหตุผลการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันหลากหลายองค์กรต่างเห็นความสำคัญถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์”บุคลากร”ทางด้านทัศนคติกระบวนการความคิดให้เกิดความสุขในการทำงาน องค์กรจึงต้องนำศาสตร์และศิลป์ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ การจูงใจ การเจรจาต่อรอง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? หลักสูตร Generative AI for Productivity เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting…

เปิดรับสมัครแล้ว คอร์สเรียนออนไลน์ “ก้าวแรกสู่ การพูดในที่สาธารณะ” คอร์สเรียนทักษะการพูดในที่สาธารณะที่โฟกัสตรงจุด ทำให้คุณพัฒนาทักษะการพูดเป็นเร็วขึ้น SPEAK SPARK ได้กลั่นกรอง “ศาสตร์และศิลป์”…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลงานขององค์กรเพื่อให้ได้งานเชิงพัฒนามากขึ้น หลายองค์กรได้เลือกทำการปรับปรุงแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดผลงานเช่น KPIs โดยเปลี่ยนไปเป็นการตั้งเป้าหมายในเชิงพัฒนา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลงานแบบที่มุ่งเหตุที่ทำให้เกิดผล และผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการ มากกว่าที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานแบบงานประจำ และตัวชี้วัดผลงานที่มุ่งวัดผลเบื้องต้นเท่านั้น…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? ทําความรู้จักกับไคเซ็น (KAIZEN) เครื่องมือที่ช่วยในการทําไคเซ็นในสํานักงาน หมวดหมู่ งานบุคคล HR การทำงาน…

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย ตลอดจนการลงทุนาสร้างโปรเจคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร และแน่นอนว่ามันคีพคูลเข้ากับเทรนด์ Eco Friendly ในเจเนอเรชั่นนี้มาก…

คนหนุ่มสาววัย 25 ถึง 35+ ปลาย ๆ นี่คือช่วงวัยของการก่อร่างสร้างตัว ขะมักเขม้นกับการทำงานเพื่อความมั่นคง และสนุกกับการค้นหาตัวเอง ได้ทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าแพสชั่นเหล่านั้นแลกมาด้วยพลังงานที่ต้องสูญเสียไปกับร่างกายที่กรำศึก สมองที่ต้องคิด หัวใจที่ต้องอดทน กล้ามเนื้อที่ต้องออกแรงแข็งขัน และถ้าหนุ่มสาวคนหนึ่งคนใดหลงลืมหันกลับมามองว่าสุขภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขาเหล่านั้นถดถอยไปเท่าไหร่แล้วละก็.. แม้แต่เงินตราความสำเร็จที่หามาได้ ก็ไม่อาจทดแทนความเสื่อมโทรมของสุขภาพที่เสียไป.. ใด ๆ ในโลกล้วนต้องแลกเปลี่ยน และหากคุณไม่วางแผนให้ดี การเทรดระหว่างเงินตรา-ความสำเร็จ และสุขภาพร่างกาย-จิตใจ คุณอาจเจอกับสภาวะ “ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะฉะนั้น คุณต้องรู้ทัน ใส่ใจกับการ ดูแลสุขภาพ และเช็คอัพร่างกายอยู่เสมอ รู้ก่อน.. ป้องกันทัน ลุยงานได้เต็มกำลัง ทำความเข้าใจสุขภาพร่างกายและจิตใจเบื้องต้น ผลสำรวจของสวนดุสิตโพลช่วงหลังที่โควิดเริ่มซา พบว่าคนส่วนใหญ่หันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งเป็นอัตราที่ “เพิ่มขึ้น” กว่าเดิมถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ และคงไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายมากนักกับการที่ตัวเลขพุ่งสูงขึ้นขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพอคนทั่วไปพบวิกฤตการณ์โรคระบาดจึงเพิ่งตื่นตัวมากขึ้นเรื่องการดูแลสุขภาพ ฉันใดก็ฉันนั้น.. หากกลับสู่สภาวะปกติก็เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนส่วนใหญ่ก็จะกลับมาละเลยการดูและสุขภาพเหมือนก่อนหน้านี้ ??? ดังนั้นเรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจถือเป็นปัจจัยชี้นำที่ทำให้ชีวิตเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือแย่ลงได้ โดยปกติแล้วร่างกายและจิตใจของคนเราหากมีการดูแลจัดการที่ดีและเป็นระเบียบให้คงอยู่ตามสมดุล อาการเจ็บป่วยหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยจะไม่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าเมื่อมนุษย์เราได้เจริญเติบโตอย่างเต็มที่ในช่วงอายุ 20-25 ปี ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยเรื่อย ๆ ดังนั้นการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การทำงาน และแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วสุขภาพดีก็จะนำมาซึ่งความสุข โรคยอดฮิต ปัญหาสุขภาพ ของคนอายุช่วง 25 – 40 มีอะไรบ้าง เรื่องสำคัญของคนหนุ่มสาววัยทำงานที่ต้องรู้เท่าทัน คือ “โรคยอดฮิต” ของคนทำงาน และนี่ถือเป็นปัญหาสุขภาพของคนอายุ 25 – 40 ปี ที่มักพบได้บ่อย โดยสุขภาพจะมีความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพื่อที่จะป้องกันไม่เกิดเหตุเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ การรู้ก่อนว่าช่วงวัยทำงานนี้มีปัญหาสุขภาพอย่างไร…

ทุกวันนี้การทำงานของหลาย ๆ บริษัทต่างก็มีความเข้มงวดมากขึ้น กดดันมากขึ้น และจะต้องทำตามเป้าหมายหรือกำไรให้กับบริษัทตามสมควร จนหลายครั้งก็พบว่าพนักงานหลายคนไม่มี สุขภาพจิตดี เท่าไหร่นัก และเมื่อการทำงานเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดแน่นอนว่าส่งผลต่อความเป็นอยู่ของพนักงานในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเงิน ความรัก ครอบครัว และที่สำคัญยังส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจอีกด้วย ในบทความนี้จึงจะมาแนะนำวิธีการสร้างบรรยากาศในการทำงาน เพื่อส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตที่ดีให้ทุกคนได้ตามอ่านกัน ความสำคัญของการมี สุขภาพจิตดี ในที่ทำงาน ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการมี สุขภาพจิตดี ในที่ทำงานกันก่อน อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าการทำงาน 1 วัน คือใช้เวลาอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านั้นสำหรับบางคน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำอย่างมาก เพราะถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของเวลา 1 วัน ที่คนทำงานจะต้องเจอสภาพแวดล้อมที่กดดันแบบนั้น จนเป็นเหตุให้พนักงานหลายคนหมดไฟในการทำงาน เกิดการเครียดหรือความวิตกกังวล และอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นถ้าอยากให้บริษัทหรือธุรกิจของคุณไปได้ดีควรสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีก่อน เพราะถ้าหากทำให้ดีพนักงานจะมีจิตใจที่อยากทำงานด้วยความตั้งใจของตนเอง แน่นอนว่าคุณภาพการทำงานจะดีขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 4 วิธีปรับการทำงานเพื่อ สุขภาพจิตที่ดี ของคนในบริษัท 1. ออกแบบการทำงานที่ชัดเจนตรงตามหน้าที่ เวลาพนักงานเข้ามาทำงานจะมีตำแหน่งหรือหน้าที่ของตนเอง ดังนั้นทางบริษัทหรือหัวหน้างานก็ควรยึดหลักการนั้น อย่าให้งานแบบจับฉ่ายหว่านไปทั่ว ควรสร้างระบบการกระจายงานที่มีหลักการ และควร จัดตารางาน โดยดำเนินงานภายใต้ระบบนั้นอย่างมีเสถียรภาพ เพราะหากไม่มีการจัดตารางงานที่ดีหรือการแจกจ่ายงานที่ชัดเจน ไม่เพียงแต่ทำให้พนักงานได้รับภาระงานที่หนักมากยิ่งขึ้น ยังจะทำให้พวกเขาสับสนมึนงงในขอบเขตงานที่ได้รับ และท้ายที่สุดทำให้งานที่ตัวเองดูแลอยู่มีคุณภาพที่น้อยลงได้ ดังนั้นการจำกัดขอบเขตการทำงานอย่างมีระบบ การแจกจ่ายงาน ตลอดจนการกำหนดค่า KPI และรวมถึงเวลาพัก เวลาเลิกงานก็ควรตรงเวลา รักษาสิทธ์ของทุกคนให้เท่าเทียม หากมีโอทีต้องมีจ่ายเงินเพิ่มตามความเหมาะสม เพราะถ้าหากตรงนี้ไม่ชัดเจนอาจกลายเป็นการตีกรอบให้พนักงานทำงานอย่างหนักแบบไม่มีระบบได้ 2. เพิ่มความรู้สึกภาคภูมิใจและให้ความสำคัญกับพนักงาน ในการทำงานการสร้างพลังบวกให้กับพนักงานถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้ามีบรรยากาศที่ดีแน่นอนว่าสภาพจิตใจของพนักงานจะดีขึ้นด้วย โดยวิธีการนั้นคือการให้ความสำคัญกับผลงานของพนักงานที่ประสบความสำเร็จให้พนักงานรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า หรือต่อให้แม้มีพนักงานที่ทำงานล้มเหลวการให้คำปลอบใจและให้การสู้ต่อจะเป็นอะไรที่ดีกว่า เพราะถ้าหากโดนตำหนิและกล่าวโทษสักครั้งนึง หลังจากนั้นพนักงานจะไม่กล้าเสนอไอเดีย…

ในโลกที่การสื่อสารไร้ขีดจำกัด องค์กรหรือบริษัทชื่อดัง ต่างให้ความสำคัญกับการสื่อสารมากขึ้น เพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย วันนี้เรามี แอพคุยงาน อัพเดตใหม่มาแนะนำ พบกับ 8 แอพพลิเคชันคุยงาน ที่มีฟีเจอร์สุดล้ำมากมาย สามารถใช้พูดคุยสื่อสาร ส่งไฟล์ หรือติดต่อประสานงานกับคนภายในหรือนอกองค์กรได้ ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้อย่างสมดุล จะมีแอพอะไรบ้างนั้น ไปติดตามชมพร้อม ๆ กัน รวมข้อดี – ข้อเสีย 8 แอพคุยงาน เลือกใช้ได้ตามแต่ละองค์กร 1. Slack แอพคุยงาน Slack เหมาะกับการใช้งานในองค์กรหรือออฟฟิศที่เน้นการแชทแบบห้องสนทนา เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน หรือส่งไฟล์หากัน และค้นหาบทสนทนาเก่า ๆ ได้ ภายในแอพ Slack มีฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมาย ช่วยจัดระเบียบข้อความในแชทแบบไม่กินพื้นที่ แอพนี้ถ้าคุยกันให้ลึกขึ้นอีก คือสามารถไปถึงขั้น Enterprise ได้เลย คือมี bot หรือ plugin ต่าง ๆ มากมายในการเปิด Workflow หรือ Ticket เพื่อทำ Channel Inquiry มี Bot Translate มากไปกว่านั้น Slack ยังมี Third Party มากมายที่สามารถนำมา Plug-in กันได้ หรือเจ้า Slack นี่เองก็มีตัว Adapter ให้เชื่อมต่อกับแอพอื่น ๆ เพื่อการทำงานที่ไร้รอยต่อได้เช่นกัน ข้อดี ข้อเสีย 2. Workplace มาต่อกันที่แอพ Workplace อีกหนึ่งแอพพลิเคชันที่เน้นใช้งานในองค์กร แอพนี้ถูกพัฒนาโดย Meta หรือ Facebook ซึ่งมีการปรับใช้เหมาะกับการทำงานในองค์กร ภายในมีฟีเจอร์คล้ายคลึงกับ Facebook แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ แอพ Workplace จะแบ่งออกเป็นส่วน 2 คือ ส่วนหน้าฟีด และส่วนแชทที่จัดทำเป็นแอพโดยเฉพาะ ข้อดี ข้อเสีย 3.…

สวัสดีปีใหม่ ปีที่ใครหลายคนตั้งเป้าว่าต้องเป็นปีแห่งการหันมาใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้น และหากคุณเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เมื่อดูแลสุขภาพกายแล้ว ต้องห้ามพลาดที่จะหันมาดูแลสุขภาพใจด้วย ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ว่าคนในสังคมทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “Mental Health” กันมากยิ่งขึ้น หรือให้ความสำคัญต่อการหมั่นสังเกตสุขภาพจิตของตนเองเป็นระยะ ๆ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนในสังคมทุกกลุ่มได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นนอกเหนืออาการบาดเจ็บทางกายภายนอกที่เราสังเกตได้ด้วยตาเปล่า เพราะหากเราพบว่าสุขภาพจิตของเราต้องการการดูแลรักษา นั่นก็ไม่ต่างจากการบาดเจ็บเป็นแผลที่สุขภาพกาย แต่กลับกันที่นี่คือแผลที่จิตใจ อยู่ภายใน ซึ่งมีเพียงผู้ป่วยเท่านั้นที่จะสังเกตตัวเองได้ และเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในระยะยาวอย่างคาดไม่ถึง อย่างที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” เมื่อจิตใจหดหู่ห่อเหี่ยว ก็จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่แสดงออกแบบแปลกแยก เช่น มีความเครียดความกดดันมากกว่าปกติจนไม่สามารถคุมอารมณ์ตัวเอง มีความคิดทำร้ายร่างกายตัวเองหรือคนรอบข้าง เป็นต้น มาสังเกตสุขภาพใจกัน แบบไหนต้องพบจิตแพทย์ หากเราเริ่มสังเกตสุขภาพจิตหรือ Mental Health ของเรา แล้วพบว่าตัวเองมีพฤติกรรม 7 รูปแบบนี้ ก็เป็นสัญญาณเตือนให้คุณต้องหันกลับมาใส่ใจสุขภาพจิตใจของตัวเองให้มากกว่าปกติ หรือพบนักบำบัด นักจิตวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อรับการช่วยเหลือ หรือเพื่อความชัวร์แนะนำว่าให้พบกับจิตแพทย์ก่อนก็ได้เหมือนกัน ทีนี้มาดูกันดีกว่าว่า 7 พฤติกรรมที่เป็นสัญญาณเตือนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. รู้สึกว่าอารมณ์แปรปรวน ดีได้ชั่วครู่ก็กลับมาหดหู่แบบไร้สาเหตุ สังเกตสุขภาพจิตในเรื่องของอารมณ์และรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเรารู้ตัวว่ากำลังรู้สึกมีความสุข โกรธ ผิดหวัง เศร้า หรือเสียใจ โดยเข้าใจว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหล่านี้คืออะไรก็เท่ากับว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกตัวเองได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ตามอารมณ์ตัวเองไม่ทัน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเศร้า หดหู่ ท้อแท้หรือวิตกกังวล อาจเป็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับสภาวะทางจิตที่ไม่มั่นคงได้ ถ้าหากเป็นแล้วหาสาเหตุไม่เจอบ่อยๆ แนะนำว่าพบแพทย์จะเป็นการดีที่สุด 2. มีทัศนคติด้านลบในการใช้ชีวิต บนโลกนี้มีทั้งเรื่องดีและร้ายสลับกันไป ไม่มีใครที่มีความสุขทุกวันเช่นกันกับความทุกข์ที่จะอยู่กับเราแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าหากใครมีความรู้สึกว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์และน่าเสียใจ มองไม่เห็นแสงสว่างที่จะเข้ามาในชีวิตได้อีกต่อไป ขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสภาวะที่บ่งบอกได้ว่าสุขภาพจิตของคุณต้องการได้รับการดูแลที่มากขึ้นกว่าปกติแล้วในตอนนี้ โดยสังเกตได้เลยว่าหากเป็นต่อเนื่อง 2 สัปดาห์จำเป็นที่จะต้องพบจิตแพทย์โดยเร็ว 3. มีความคิดทำร้ายตัวเอง คนที่รักตัวเองและมีความนับถือตัวเองมากพอจะไม่มีความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเองหรือทำให้ตัวเองเจ็บปวด เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดทำร้ายตัวเอง อยากทำให้ตัวเองรู้สึกเจ็บเพราะคิดว่าเป็นวิธีในการระบายอารมณ์ ระบายความเครียด นั้นถือเป็นพฤติกรรมอันตราย ถึงแม้จะเป็นอารมณ์ชั่ววูบแต่ก็เป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่าตัวคุณกำลังตกอยู่ในสภาวะ Low…

มีเป้าหมาย มีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีความฝัน แต่ยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อย ๆ ใครตั้ง เป้าหมาย ไว้เมื่อปีก่อน จนเวลาผ่านมาถึงท้ายปี และขึ้นปีใหม่แล้วก็ตาม แต่ยังไม่สำเร็จซักอย่าง ลองนำแนวคิดของเทคนิคการปลดปล่อยพลังเพื่อพิชิตเป้าหมายนี้ไปใช้ดู เมื่อเรารู้จุดมุ่งหมายในชีวิต กำหนดวิสัยทัศน์ และทำสิ่งที่เราต้องการและปรารถนาอย่างแท้จริงให้กระจ่างชัดขึ้นมาแล้ว จากนั้นเราต้องแปลงมันให้อยู่ในรูปของเป้าหมายและจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงและวัดผลได้ แล้วปฏิบัติไปตามนั้นด้วยความแน่ใจว่าเราจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้ สมองเป็นกลไกหนึ่งของการเสาะหาเป้าหมาย ไม่ว่าเราจะกำหนดเป้าหมายใดให้กับจิตใต้สำนึก สมองจะทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำเป้าหมายนั้นให้เป็นจริง เท่าไหร่และเมื่อไหร่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป้าหมายจะปลดปล่อยพลังของจิตใต้สำนึกออกมา มีเกณฑ์สองข้อด้วยกัน นั่นคือ เราจะต้องกำหนดเป้าหมายในแบบที่เราและคนอื่น ๆ สามารถวัดผลได้ เช่น การกำหนดเป้าหมายว่า ฉันจะลดน้ำหนักลง 5 กิโลกรัม แต่เดี๋ยวนะ อันนี้มันยังธรรมดาไป ! จะดีกว่าไหม ถ้า…ฉันจะลดน้ำหนักลง 5 กิโลกรัม ให้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ !!! ดังนั้นเกณฑ์สองข้อที่กล่าวไปข้างต้นนั้น หมายถึง “เท่าไหร่” และ “เมื่อไหร่” นั่นเอง Tip: ระบุเป้าหมายทุกด้านให้เฉพาะเจาะจงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น รุ่น สี ปีที่ผลิด ขนาด น้ำหนัก หรืออื่น ๆ จำไว้ว่า หากเป้าหมายคลุมเครือ ผลลัพธ์ก็จะคลุมเครือเช่นกัน เป้าหมาย เป็นมากกว่าแค่ ความต้องการ มีเหมือนกันที่ในบางครั้งเป้าหมายของเรา ไม่มีเกณฑ์วัดผล ซึ่งมันก็จะเป็นเพียงบางสิ่งที่เราปรารถนา หรือความต้องการ เช่น ฉันอยากเป็นเจ้าของบ้านที่มีสวนสวย ๆ หรือ ฉันอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาคนนั้น …อะไรแบบนี้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของเราได้ จำเป็นต้องมีเทคนิควิธีคิดเพื่อให้สามารถเกิดการวัดผลให้ได้…