*Trendy Now

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความร้อนแรงของ House of the Dragon ซีรีส์ยอดนิยมส่งท้ายปี ดีไม่แพ้ซีรีส์ในสตอรี่ไลน์เดียวกันอย่าง Game of Thrones และเชื่อไหมว่า.. เพียงแค่ซีซันที่หนึ่งก็สามารถโกยสกอร์จากบ้าน imdb ไปถึง 8.6/10 และจาก Rotten Tomatoes 86% หากคุณเป็นคนนึงที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่าตัวละครใน House of the Dragon มีความโดดเด่นและบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของตัวละครนึงมักพาคุณไปเจอประเด็นต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้น ซับซ้อนแต่ก็สอดประสานกันได้อย่างสนุก…

*รักโลก รักสุขภาพ

หลายครั้งพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกมา เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่พอใจที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมา แต่ทุกอย่างสามารถแก้ได้ เพียงแค่เรา “เข้าใจตัวเอง” ให้มากยิ่งขึ้น แต่การจะเข้าใจได้นั้น ก็ต้องมีหลักการหรือทฤษฎีมารองรับเสียหน่อย เพื่อการพัฒนาที่ดีและตรงจุด เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Satir Model…

Business knowledge 77%
Technology 71%
Self development 90%
Potential improvement 86%

Athena new release

ถอดบทเรียน “ธุรกิจเจ๊ง” เช็คความเสี่ยงว่าธุรกิจคุณเข้าขั้นวิกฤตแล้วหรือยัง ? ปกติแล้วบทความส่วนใหญ่จะให้หนทางทำอย่างไรก็ได้ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำเคล็ดลับต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าหากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจหรือทำธุรกิจแล้วกำลังประสบกับความเสี่ยงในการทำให้ ธุรกิจเจ๊ง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? Convincing จิตวิทยาและวาทศิลป์ในการโน้มน้าวใจ “เคล็ดลับ! การโน้มน้าวใจคนให้สำเร็จ ด้วยเทคนิคเชิงจิตวิทยาและศิลปะการพูด”หลักการและเหตุผลการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันหลากหลายองค์กรต่างเห็นความสำคัญถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์”บุคลากร”ทางด้านทัศนคติกระบวนการความคิดให้เกิดความสุขในการทำงาน องค์กรจึงต้องนำศาสตร์และศิลป์ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ การจูงใจ การเจรจาต่อรอง…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? หลักสูตร Generative AI for Productivity เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting…

เปิดรับสมัครแล้ว คอร์สเรียนออนไลน์ “ก้าวแรกสู่ การพูดในที่สาธารณะ” คอร์สเรียนทักษะการพูดในที่สาธารณะที่โฟกัสตรงจุด ทำให้คุณพัฒนาทักษะการพูดเป็นเร็วขึ้น SPEAK SPARK ได้กลั่นกรอง “ศาสตร์และศิลป์”…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดผลงานขององค์กรเพื่อให้ได้งานเชิงพัฒนามากขึ้น หลายองค์กรได้เลือกทำการปรับปรุงแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดผลงานเช่น KPIs โดยเปลี่ยนไปเป็นการตั้งเป้าหมายในเชิงพัฒนา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลงานแบบที่มุ่งเหตุที่ทำให้เกิดผล และผลลัพธ์ปลายทางที่ต้องการ มากกว่าที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานแบบงานประจำ และตัวชี้วัดผลงานที่มุ่งวัดผลเบื้องต้นเท่านั้น…

คอร์สอบรมนี้สอนอะไร ? ทําความรู้จักกับไคเซ็น (KAIZEN) เครื่องมือที่ช่วยในการทําไคเซ็นในสํานักงาน หมวดหมู่ งานบุคคล HR การทำงาน…

ดาเมจรุนแรงมากสำหรับกระแส Sustainability รณรงค์ให้คนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กระแสพุ่งตรงแรงที่ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล ครอบครัว คนรักสุขภาพมากขึ้นและก็รักษ์โลกไปด้วย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ บริษัทแบรนด์ใหญ่ ๆ รีแบรนด์ตัวเองให้เป็นสาวก Eco Friendly ออกแคมเปญโปรโมท Sustainability มากมาย ตลอดจนการลงทุนาสร้างโปรเจคอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร และแน่นอนว่ามันคีพคูลเข้ากับเทรนด์ Eco Friendly ในเจเนอเรชั่นนี้มาก…

Growth Mindset กรอบความคิดที่เชื่อว่า ทุกคนนั้นมีความเก่งและสามารถเติบโตได้อีกเรื่อย ๆ สกิลสำคัญที่คนยุคนี้ต้องเรีนยรู้และมีไว้เพื่อเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวล้ำ ทันสมัย และด้วยวิธีการปลูกฝัง Growth Mindset เพื่อให้ชีวิตไม่มีลิมิตในทุกด้าน บทความนี้พบกับการนำเสนอกรอบความคิดที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเคล็ดลับการเรียนรู้แบบง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ จะมีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย คิดแบบ Growth Mindset คืออะไรมาหาคำตอบกัน ! คำว่า Growth Mindset (โกรท มายเซ็ท) คีย์หลักจะหมายความว่า เชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถพัฒนา ได้เสมอ หากฝึกฝนและพยายามในสิ่งใดก็ตาม เราสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยความพยายาม พร้อมทั้งใช้เวลากับมันด้วยความตั้งใจ เป็นกรอบแนวคิดที่หลุดพ้นจากความตายตัว หรือ Fixed Mindset (ฟิก มายเซ็ท) ที่แต่เดิมเชื่อว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับความสามารถ หรือพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ทำให้ยึดติดอยู่กับขีดความสามารถที่จำกัดของตัวเอง ความคิดแบบ Growth Mindset แตกต่างจาก Fixed Mindset อย่างไร ความคิดแบบ Growth Mindset รู้จักกการมองหาโอกาสในสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะเป็น Mindset ที่ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวเสมอ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง ผู้ที่มี Growth Mindset จะคิดพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับโอกาสที่เข้ามา ผ่านการเรียนรู้จากความผิดพลาด หรือแม้แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายก็สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองและก้าวข้ามผ่านมันได้ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดแบบ Fixed Mindset ที่ยึดติดอยู่กับความล้มเหลว มีมุมมองกับสิ่งต่าง ๆ…

บทความนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้จัดการโครงการ Project Manager ทั้งหลาย ตลอดจนหัวหน้าทีม และ/รวมถึงระดับผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กเป็นอย่างยิ่ง เนื้อหาสาระด้าน Soft Skill ในการจัดสรรคนให้เหมาะสมกับงานนี้ หรือที่เราคุ้นหูกันในวลีเท่ห์ ๆ อย่าง “Put the Right Man on the Right Job” นั่นคือการใส่ใจเรื่องการจัดสรรบุคคล ในการเลือกคนที่จะมาทำงานให้เราได้อย่าง เหมาะสม ทั้งด้านเวลาและความสามารถ ที่สำคัญสกิลของคนก็ต้อง แมชชิ่ง กับงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ จบงานกันอย่าง แฮปปี้เอนดิ้ง ทั้งผู้มอบหมายงานและผู้รับงาน จะเห็นได้ว่าสิ่งนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก และเป็นสกิลสำคัญที่ผู้มอบหมายงานทุกคนต้องเรียนรู้ เพราะถ้าหากเลือกคนผิด แทนที่จะช่วยกันทำให้ธุรกิจเติบโต อาจเสียงานและกลายเป็นล่มจมได้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจากฐานธุรกิจของคุณอาจยังไม่แข็งแรงพอ ดังนั้นสรุปกันอีกครั้งว่าในบทความนี้จะมาว่าด้วยเรื่อง “วิธีเลือกคนทำงาน” อย่างไรถึงจะมีคุณภาพ และช่วยกันพาธุรกิจของคุณเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว 7 วิธีเลือกคนทำงาน “Put the Right Man on the Right Job” เลือกเฟ้นอย่างไรถึงได้คนที่มีคุณภาพ 1.เลือกคนทำงานที่มีความสามารถแบบตัว T (T-shaped skills) เมื่อคุณอยากจะหาคนมาร่วมงาน แนะนำว่าต้องหาคนที่มีความสามารถแบบตัว T ตามธุรกิจที่คุณทำอยู่ ซึ่งความหมายของตัว T ที่ว่านี้ก็คือจำเป็นจะต้องรู้กว้างในสายงานของคุณหรือก็คือเป็น “เป็ด” แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ลึกด้วยหรือก็คือมีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษที่เรียกว่า “Specialist” ในตำแหน่งที่คุณได้เปิดรับสมัครมานั่นเอง เพราะถ้าหากไม่เป็นตัว T การพัฒนาธุรกิจจะล่าช้ากว่าการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน 2. ทดสอบการทำงานจริงตอนเรียกสัมภาษณ์ วิธีเลือกคนทำงาน ที่ง่ายที่สุดและเห็นผลได้จริงที่สุด นั่นก็คือทดสอบการทำงานจริงในตอนที่เรียกสัมภาษณ์เลย โดยคุณสามารถให้โจทย์ทำเป็นข้อสอบข้อเขียนก็ได้ ในขณะเดียวกันถ้าเป็นงานภาคปฏิบัติก็สามารถลุยให้ทำจริงได้ในทันที ในจุดนี้จะเป็นตัวชี้ขาดว่า ผู้ที่สมัครงานเข้ามามีความสามารถที่เพียงพอหรือไม่…

“Good health is true wealth” สุขภาพดีคือความมั่งคั่งที่แท้จริง buzzword คุ้นหูนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เมื่อเราทุกคนต่างรู้ดีว่าโลกของเราในทุกวันนี้ได้รับผลร้ายทั้งทางตรงและทางอ้อมจากอุตสาหกรรม ภาวะเรือนกระจก การตัดไม้ทำลายป่าของมนุษย์ ส่งผลให้สิ่งมีเจือปนในอากาศ สารเคมีในอาหาร นำพามาซึ่งเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส และโรคภัยไข้เจ็บสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ และเริ่มมีกลุ่มคนที่ตระหนักถึงภัยคุกคามที่มองไม่เห็นนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เขาเหล่านั้นต่างให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลสุขภาพ มากขึ้น และยังร่วมรณรงค์ให้ผู้คนตื่นตัวผ่านสื่อฯ หรือแคมเปญต่าง ๆ อยู่เสมอ รวมไปถึงการใช้ แอปดูแลสุขภาพ กันให้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงฉับพลันในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จึงสำคัญมาก เริ่มที่ตัวเองเราเองได้ง่าย ๆ โดยต้องหมั่นตรวจเช็กร่างกายตัวเองอยู่เสมอ สำหรับใครที่ไม่ชอบความยุ่งยาก หรือขี้เกียจเดินทางไปตรวจสุขภาพไกลบ้าน เราขอแนะนำ 10 แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพของตัวเอง ตัวช่วยสำคัญที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคุณ ให้ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ลดการเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลได้อย่างแน่นอน รวม 10 แอปดูแลสุขภาพ ให้กับตัวเองเป็นประจำทุกวัน สำหรับ แอปดูแลสุขภาพ ทั้ง 10 แอป ที่ได้มีการคัดสรรมานั้น ถือว่ามีความหลากหลายเป็นอย่างมาก คุณไม่จำเป็นต้องโหลดทุกแอป แต่ให้เลือกแอปที่คุณต้องการจะ ดูแลสุขภาพ ร่างกายและจิตใจในด้านไหน แบบใดจะเป็นการดีที่สุด โดยรายละเอียดต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้ 1. MyFitnessPal เริ่มกันที่แอปพลิเคชันแรก MyFitnessPal แอปติดตามการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน มาพร้อมฟังก์ชันการวางแผนออกกำลังกาย ภายในมีข้อมูลอาหารหลากหลาย สามารถสแกนบาร์โค้ดเพื่อตรวจสอบปริมาณแคลอรีอาหารที่ทานได้ เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพหรือสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนัก และสิ่งนี้เองจะเสริมสร้างสุขภาพที่ดีในระยะยาวได้ 2. Apple Health อีกหนึ่งแอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอุปกรณ์…

การพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มความสามารถในด้านต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตและการทำงาน เพราะเป็นหนทางสุจริตเพียงหนทางเดียวที่จะนำพาตัวคุณเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จหรือมีคุณภาพชีวิตดีกว่าที่เป็นมาได้ เหนือสิ่งอื่นใดนั้น คุณควรจะต้องเริ่มจากการค้นหา “วิธี” เพื่อ “พัฒนาตนเอง” ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตัวคุณเสียก่อน และตามท๊อปปิคตัวหนาของเราในวันนี้เลยที่ต้องการเน้นย้ำว่า.. การพัฒนาตนเองที่ได้ผลดีนั้น คุณไม่จำเป็นต้องแข่งกับใครเพื่อที่จะเหนือกว่า หรือแม้แต่การแข่งขันกับตัวเองในแบบฉบับเมื่อวาน ก็ขอแนะนำว่าไม่ควรเช่นกัน !!! คำคมติดหูที่คุณมักได้ยินบ่อย ๆ เช่นว่า “คุณคนนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน..” ใด ๆ เหล่านั้น..ขอให้ลืมมันซะ อย่าไปกดดันตัวเอง เพราะชีวิตของแต่ละคนมีขึ้นและลงตลอดเวลา ดังนั้นการตั้งมายเซ็ตแบบนั้นจะส่งผลต่อจิตใจในเชิงลบได้ เราไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันกับใคร ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเราเองกับใคร คนคนเดียวที่เราควรจะแข่งขันด้วยก็คือตัวเราเองในวันนี้ กำหนดเป้าหมายให้แน่ชัด เพื่อให้การ “พัฒนาตนเอง” มีประสิทธิภาพ  ก่อนจะเข้าสู่วิธี “พัฒนาตัวเอง” สิ่งสำคัญแน่ชัดที่สุด คือการ “กำหนดเป้าหมาย” ให้ชัดเจน และควรจะกำหนด 1 เป้าหมายหลัก และเป็นประโยคสั้น ๆ เพื่อที่คุณจะสามารถมุ่งไปสู่เป้าหมายได้อย่างชัดเจน ไม่วอกแวก ยกตัวอย่างเช่น  จากตัวอย่างจะเห็นแล้วว่าเป้าหมายนั้นสามารถเป็นได้หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างอาจจะกำหนดระยะเวลาในการทำได้ แต่บางอย่างจะต้องทำสม่ำเสมอและไม่ควรหยุดเด็ดขาด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณเลยว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างไร และเมื่อเป้าหมายสำเร็จจะขยายเพิ่มเติมหรือไม่ อันนี้ก็สุดแล้วแต่คุณเลย ทริคการกำหนดเป้าหมายอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลดีเยี่ยม ไปดูได้ที่.. 6 วิธี พัฒนาตนเอง แบบ “แข่งกับตัวเอง” มั่นคงและประสบความสำเร็จ รแนะนำ 6 วิธีพัฒนาตัวเอง แบบมั่นคง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หรือยัดเยียดให้ประสบความสำเร็จได้ไว ๆ ขอเพียงแค่คุณตั้งมั่นและปักหมุดเป้าหมายที่ได้เลือกให้ดี และพยายามทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องกดดันตัวเอง เพราะการพัฒนาตัวเองควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คนรอบข้างดีขึ้น ไม่ใช่พัฒนาตัวเองเพื่อให้ความสุขลดน้อยลง แล้วคุณจะรู้ว่า เพียงแค่คุณคนเดียวก็สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสได้ !…

ถ้าเราบอกเคล็ดลับว่า เพียงแค่เพื่อน ๆ รู้วิธีการ หายใจ อย่างถูกวิธี ก็จะพบว่าตัวเองมีสุขภาพดีขึ้น และมีศักยภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว…เพื่อน ๆ จะเชื่อหรือไม่ ? การหายใจของมนุษย์เป็น “ศิลปะ” การหายใจที่สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง และมันเป็นศิลปะเชิงวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง เพราะมันเป็นมากกว่าการหายใจเอาอากาศเข้าและหายใจเอาอากาศออก การหายใจไม่ใช่แค่สูดออกซิเจนเข้าปอด จูนความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของมนุษย์ประกอบขึ้นจากเซลล์นับพันล้านที่เกิดจากการหายใจเป็นพื้นฐาน การหายใจเป็นจุดกำเนิดลูกโซ่ของชีวกายภาพทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งดำรงค์อยู่ได้เพราะหายใจและสูญสลายไปเมื่อหยุดหายใจ ออกซิเจนที่ได้เพิ่มมากขึ้นในกระแสเลือดของเรากระตุ้นระบบขับถ่าย อันเป็นการชำระล้างพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายออกไป ออกซิเจนที่เพิ่มพิเศษขึ้นมาในสมอง ให้พลังงานเพิ่มเติมและความมีชีวิตชีวาแก่เรา ทั้งการหายใจในระหว่างการทำสมาธิลึก ๆ ก็เป็นเครื่องเตือนใจต่อร่างกายของเราว่า ทั้งหมดอยู่ในความควบคุม การหายใจจึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สุขภาพของเราดีเสมอมา แบบที่เพื่อน ๆ บางคนอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพอเรามีอายุมากขึ้น การหายใจกลายเป็นวิทยาศาสตร์น้อยลงเรื่อย ๆ และกลายเป็นการหายใจตื้น ๆ และเราก็เริ่มหายใจเข้าไปในปอด แทนที่จะให้ลึกถึงท้อง ผู้ใหญ่อย่างเรา หายใจ ผิดวิธีมาตลอด เอ๊ะ ! หายใจก็คือหายใจเข้าและหายใจออก แค่นั่นนี่ !? มีถูกหรือผิดด้วยหรอ ? เราเชื่อว่าเพื่อน ๆ ไม่เคยรู้มาก่อนแน่ ๆ เราจึงอยากให้เพื่อน ๆ ลองสังเกตการหายใจของเด็กทารก เข้า ออก ลึก และแม้กระทั้ง ช้า ง่าย และสงบ หากใครมีลูกมีหลานลองสังเกตให้ใกล้ชิดมากขึ้น จะเห็นเลยว่าหน้าอกไม่ได้ยกสูงขึ้นและต่ำลง แต่เป็น “ท้อง” ที่ยุบ ๆ พอง ๆ มาถึงตรงนี้บางคนคงร้องอ๋อ เพราะนั่นคือกระบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อระหว่างทรวงอกและช่องท้อง ที่เป็นตัวเคลื่อนไหว คราวนี้เราลองมาเปรียบเทียบกับวิธีการหายใจของพวกผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ กันบ้าง ซึ่งสิ่งที่พบก็คือ มันแตกต่างออกไปจากเด็กทารกอย่างแน่นอน…